ดาบที่คม โล่ที่แกร่ง ไม่ได้เกิดจากการเสก
ตอนแรกตั้งใจว่าไม่เขียนเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วมอีกแล้ว
ไม่ใช่เพราะไม่รู้จะเขียนอะไร
แต่มีเรื่องมากมายให้เขียนจนรู้สึกว่า ถ้าจะเขียน คงต้องเขียนทุกวัน
ซึ่งในจุดนี้ ไม่ค่อยอยากจะทำแบบนั้น ไม่ค่อยอยากจะด่าใคร ไม่ค่อยอยากจะเสนอหน้า
เพราะรู้สึกเอียนกับภาวะมาม่าขนาดตลาด แต่ดราม่าท่วมท้นยิ่งกว่าปลาวาฬ 50 ล้านตัว
ไม่ใช่เพราะไม่รู้จะเขียนอะไร
แต่มีเรื่องมากมายให้เขียนจนรู้สึกว่า ถ้าจะเขียน คงต้องเขียนทุกวัน
ซึ่งในจุดนี้ ไม่ค่อยอยากจะทำแบบนั้น ไม่ค่อยอยากจะด่าใคร ไม่ค่อยอยากจะเสนอหน้า
เพราะรู้สึกเอียนกับภาวะมาม่าขนาดตลาด แต่ดราม่าท่วมท้นยิ่งกว่าปลาวาฬ 50 ล้านตัว
เพราะฉะนั้นในเมื่อตัดสินใจจะเขียนแล้ว ก้หวังกับตัวเองว่า นี่จะเป็น blog สุดท้าย
เกี่ยวกับสถานการณ์นี้
แล้วคงจะไม่พูดอะไรที่เกี่ยวกับประโยชน์ หรือข้อปฏิบัติกับการรับมือน้ำ
เพราะมันจะเป็นประโยชน์ต่อทุกคนมากเกินไปหน่อย
ในขณะที่คลิปต่างๆ หน่วยงานต่างๆก็เสนอแนะได้ดีกว่าเราทั้งสิ้น
แล้วคงจะไม่พูดอะไรที่เกี่ยวกับประโยชน์ หรือข้อปฏิบัติกับการรับมือน้ำ
เพราะมันจะเป็นประโยชน์ต่อทุกคนมากเกินไปหน่อย
ในขณะที่คลิปต่างๆ หน่วยงานต่างๆก็เสนอแนะได้ดีกว่าเราทั้งสิ้น
ดังนั้นประเด็นที่จะพูดถึงก็คงเป็นเรื่องราวดราม่าทั้งหลาย
ดราม่าเหล่านี้ทำให้เราเติบโตขึ้นอีกนิดหนึ่ง และทำให้เรามีจุดยืนที่ชัดเจนขึ้นอีกมากโขทีเดียว
มันทำให้เราเฝ้าสำรวจตัวเองทุกค่ำเช้า ขณะที่เราสำรวจสังคมนี้
ในขณะที่เรามองดราม่า ด้วยสายตาที่เราคิดว่า เป็นกลาง
แม้ตัวเราจะไม่เป็นกลางก็ตามที
เราได้พบเห็นยืนยันชัดเจน ในสิ่งที่เราเขียนไปใน blog ก่อนๆว่า
แม้ตัวเราจะไม่เป็นกลางก็ตามที
เราได้พบเห็นยืนยันชัดเจน ในสิ่งที่เราเขียนไปใน blog ก่อนๆว่า
เมื่อคนเรารู้สึกเดือดร้อน เราจะไม่ค่อยมองว่า สาเหตุที่เกิดขึ้นนั้น มันมาจากไหนกันแน่
แต่ความคิดของเรานั้น จะรู้สึกหาใครสักคนมาเป็นแพะ เป็นผู้รับผิดชอบ เป็นคนที่เราอยากจะโยนขี้ให้ทันที
ซึ่งใครคนนั้น ไม่ใช่ใครอื่น คนนั้นก็คือ "คนที่เราไม่ชอบ"
ดังนั้นการที่รัฐบาลซึ่งเป็นองค์กรที่มีอำนาจที่สุดในการบริหารบ้านเมือง
จะถูกโจมตีอย่างรุนแรง ด้วยข้อหาต่างๆ เช่น
- เป็นสาเหตุของน้ำท่วม (อันนี้ทุกคนก็น่าจะรู้อยู่แล้ว ว่าไม่ใช่)
- เป็นสาเหตุของน้ำท่วม (อันนี้ทุกคนก็น่าจะรู้อยู่แล้ว ว่าไม่ใช่)
- บริหารจัดการ วางแผนไม่ดี (อันนี้เราไม่แน่ใจ เพราะถ้าเป็นเรา ก็คงทำได้ไม่ดีกว่า)
- บริหารคน และการเชื่อมโยงกันของหน่วยงาน (ตามที่เราเห็น อันนี้ทำได้ไม่ดีจริง)
- บริการการข่าว การให้ข้อมูลอย่างไร้ระบบ (อย่างที่เราเห็นกันแล้ว จากการข่าวของ ศภอ.)
นี่เป็นข้อกล่าวหาบางประการเท่านั้น ยังมีข้อกล่าวหาอีกมากมาย ที่เข้าข่าย fallacy
ที่หนักๆ ก็เห็นจะเป็น hate speech ทั้งหลาย
- ข้อกล่าวหาที่โยงนายกเข้ากับการเกลียดพี่ชาย spongebob
- ข้อกล่าวหาที่ว่า เป็นผู้หญิง ไม่มีความสามารถ
- ข้อกล่าวหาที่ว่า พูดจาไม่รู้เรื่อง
และอื่นๆอีกมากมาย
สิ่งเหล่านี้ ก็ได้กลายเป็นกระแสที่คนที่ไม่ชอบรัฐบาล ต่างออกมาซัดใส่นายกอย่างรุนแรง
มีคนโจมตีก็ต้องมีคนสนับสนุนเป็นธรรมดา
คนที่ออกมาสนับสนุน ก็มีหลายรูปแบบเช่นเดียวกัน
แบบที่ดีๆ ก็มีมากมาย
แต่แบบที่เหี้ยก็มีมากมาย ในลักษณะเดียวกันกับผู้โจมตีนั่นแล
แต่แบบที่เหี้ยก็มีมากมาย ในลักษณะเดียวกันกับผู้โจมตีนั่นแล
สิ่งที่เรามองเห็นจากจุดที่เรายืนอยู่ก็คือ
ถ้าเราลองมองเปรียบเทียบระหว่างยุคของรัฐบาลปู กับยุครัฐบาลมาร์ค
เราไม่พูดถึงรัฐบาลนะ เราพูดถึงคนในสังคม
เราจะเห็นได้ว่า จริงๆแล้ว มันแทบจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย
มันเป็นการเล่นละครฉากเก่า แต่สลับบท
คนที่เคยด่า โจมตีรัฐบาล ก็กลายเป็นฝ่ายเชียร์
คนที่เคยเชียร์ ก็หันกลับมาโจมตี
โดยใช้หลักตรรกะเดียวกัน
ใช้ข้อโจมตีเดียวกัน
และกำแพงปกป้องเดียวกัน
แค่สถานการณ์ต่างกันก็เท่านั้นเอง
รัฐบาลทั้งสองต่างโดนข้อกล่าวหาต่างกัน
เราสนับสนุนฝ่ายไหน ย่อมมองว่า ข้อกล่าวหาอีกฝ่ายรุนแรงกว่า
และมีข้ออ้าง ให้ฝ่ายเราเอง
ในวันที่เราเคยอยู่ฝ่ายต่อต้าน
เราเคยโจมตีรัฐบาลอย่างไม่เว้นวรรค หรือไม่?
เราเคยจับเอาเรื่องเล็กน้อยมาเป็นประเด็นโจมตีรัฐบาลหรือไม่?
เราเคยใส่อารมณ์กับฝ่ายที่ปกป้อง และมองว่า มีตรรกะอันมืดบอดหรือไม่?
แล้วในวันที่เรากลายร่างเป็นฝ่ายสนับสนุน เราทำอย่างไร?
เราปกป้องแบบมองว่ามันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ หรือไม่?
เราปกป้อง โดยมองว่า ทำไมต้องดราม่า ทำไมต้องหาเรื่องโจมตีกัน หรือไม่?
เราปกป้อง โดยเอาความผิดของคนอื่น มาเสนอ
เพื่อที่จะกลบเกลื่อนความผิดของคนที่เราปกป้อง หรือไม่?
เราพูดได้เต็มปากแค่ไหน ว่า เราเป็นปัญญาชน?
เรามองสถานการณ์ แล้วรู้จักยอมรับหรือไม่ ว่า สิ่งใดคือปัญหา และสาเหตุ
เรายอมรับความผิดของคนที่เราปกป้อง แล้วพร้อมจะตรวจสอบ และโจมตีหรือไม่?
แล้วเราพร้อมที่จะมองหาข้อดี สิ่งที่เขาทำดีแล้ว ของฝ่ายที่เราต่อต้านหรือไม่?
.........
มันเป็นคำถามที่เราอยากจะฝากไว้ให้ทุกคนที่อ่าน
อยากให้เกิดสติ ในการเสพข่าวการเมือง และสถานการณ์
เพราะมันจะทำให้เราไม่ใช้อารมณ์อัดเข้าไปล่วงหน้า โดยที่มองเพียงจุดเดียว
ข้อมูลข่าวสารจากด้านเดียว หรือ รับทั้งสองด้านแต่เชื่อแต่ด้านที่เราสนับสนุน
แต่เราไม่ได้พูดว่า ห้ามโจมตี และห้ามสนับสนุน
ตรงกันข้าม เราสนับสนุนให้ทำด้วยซ้ำ
แต่เราจะทำอย่างไรถึงจะดี (ในความเห็นของเรานั้น)
ควรมีข้อคำนึงอย่างไรบ้าง
1. มีประเด็นจะโจมตี
2. มีหลักฐานประกอบการโจมตี
3. ไม่ใช่ fallacy อย่างน้อยก็ใช้เนียนๆหน่อย
4. มีข้อเสนอแนะ ในสิ่งที่ควรแก้ไข
จะขอยกตัวอย่าง link ที่จะสื่อตัวอย่างได้ชัดที่สุด คือ
http://www.facebook.com/notes/kalyakorn-earn-naksompop/%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B8%B4%E0%B8%87-%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B2-%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B8%B4%E0%B8%87-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81/10150344750247711
(ขอโทษที ตัด link ไม่เป็น ใครรู้สอนหน่อย)
จากครั้งแรกที่เราอ่าน เรารู้สึกว่า เขามีประเด็นที่จะโจมตีอยู่
- โจมตีว่า รัฐบาลทำงานไม่เป็น
- นายกปูทำให้ภาพลักษณ์ของผู้นำหญิงต้องเสื่อมเสีย
- ถ้าไม่มีพี่ชายคอยสนับสนุน ก็ทำอะไรไม่เป็น
เรามีความเห็นว่า การโจมตีครั้งนี้ จัดว่า ยังมีน้ำหนักไม่เพียงพอ
และมีเป็นการโจมตีที่เลื่อนลอยไปหน่อย ในประเด็นที่สาม
เพราะว่า อย่างแรกคือ มีประเด็นการโจมตี แต่ไม่มีจุดอ้างอิงเลยว่า โจมตีที่จุดไหน
ในกรณีนี้ ถ้าจะให้ดี ควรยก source มาอ้างไปเลยว่า
รัฐบาลชุดนี้ บริหารจัดการน้ำไม่ดีอย่างไร ในกรณีไหน เช่น ดอนเมือง หรือ นิคมอุตสาหกรรม
ยกเหตุการณ์มาให้เกิดการโต้เถียงเลยจะดีกว่า
เพราะหากพูดลอยๆ คนที่อ่านก็สามารถยกเหตุการณ์อีกล้านเหตุการณ์มากล่าวอ้าง เพื่อสนับสนุนตัวเองได้
เช่น คนที่โจมตีรัฐบาลอาจพูดว่า นิคมอุตสาหกรรมท่วมแล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้บอกไม่ท่วม
หรือ คนที่ปกป้อง ก็อาจยกว่า ในเมื่อรัฐบาลบอกว่า จะปกป้องกรุงเทพชั้นใน ก็ปกป้องได้จริงๆ
แล้วดำเนินการไม่ดีอย่างไร
จะเห็นได้ว่า ต่างคนต่างมีเหตุผลสนับสนุนของตัวเอง ดังนั้น เถียงไปก็ไม่จบ
ถ้ายกตัวอย่างมาเป็นประเด็น เป็นเหตุการณ์ แล้ววิจารณ์ไปเลย จะทำให้คนมุ่งประเด็นมากกว่า
ส่วนในประเด็นที่สามนั้น
ในบทวิจารณ์นั้น มุ่งโจมตี ในจุดที่คิดเอาเอง แล้วเอามาโจมตี เช่น
"แล้วก็พาลสงสัย ว่าประวัติที่ผ่านมาของคุณยิ่งลักษณ์ ก็เป็นผู้บริหารบริษัทใหญ่ระดับประเทศทั้งนั้น แล้วบริษัทเหล่านั้นรอดมาได้อย่างไร สงสัยแม้กระทั่งว่าคุณยิ่งลักษณ์เคยทำงานเองจริงๆหรือไม่ หรือได้แค่ใช้วุฒิการศึกษาที่ดูดี แต่งตัวดีๆ แต่งหน้าดีๆ ไปนั่งเฉยๆ ให้บริษัทนั้นดูภาพลักษณ์ทันสมัยขึ้น แค่นั้น? ...ถามจริงๆเถอะ ความสามารถในการสื่อสารและการทำงานระดับนี้ ถ้าไม่มี “พี่ชาย” คอยผลักคอยดันอยู่ข้างหลัง ป่านนี้คุณยิ่งลักษณ์จะทำอะไรอยู่ที่ไหน? ให้เดานะคะ ...แต่งตัวสวยๆ กลางวันไปช๊อปปิ๊ง ไปสปา กลับมานั่งสวยรอให้สามีชื่นชม"
อันนี้เป็นเรื่องส่วนตัว ซึ่งไม่เกี่ยวกับการทำงานของรัฐบาลเลย แบบนี้เราก็ไม่สนับสนุน
เมื่อดูข้อโจมตีแล้ว ก็มาดูการโต้ตอบกันบ้าง แต่เนื่องจาก blog นี้เริ่มยาวมากแล้ว
เมื่อดูข้อโจมตีแล้ว ก็มาดูการโต้ตอบกันบ้าง แต่เนื่องจาก blog นี้เริ่มยาวมากแล้ว
เราขอสรุปเลยได้ไหม ถ้าจะให้ copy มา คงจะยาว ถ้าอยากรู้ว่า เรายกมาจากข้อความไหน
ให้ลงไปอ่านใน comment ใน note นั้น ก็จะเจอ
ตัวอย่าง เช่น
- เอาความผิดของรัฐบาลที่แล้วมา แล้วพูดว่า รัฐบาลที่แล้ว ทำผิดหนักมากกว่านี้ ทำไมถึง
ตั้งหน้าตั้งตาเชียร์กันได้
- คุณโจมตีเพศตัวเอง! แล้วใครจะให้เชื่อกับคำพูดของคุณ เหมือนคุณโจมตีตัวเอง
- เอาความดังของนามสกุลมาเรียกร้องความสนใจ
หรือคำด่า จากทั้งสองฝ่ายที่ซัดใส่กัน เช่น
อีสลิ่ม!! ควายแดง!! รับเงินทักษิณ!! ลูกน้องมาร์ค!!
แบบนี้ก็ไม่เอานะครับ เลิกเหอะ กูโคตรจะเบื่อเลย!!
ถ้าเรากล้าแสดงออกกันแล้ว เป็นแนวทางที่ดีแล้วนะครับ ที่ทุกคนต่างตื่นตัวทางการเมือง
แต่ก้าวต่อไป อยากให้แสดงออกอย่างมีคุณค่าด้วยครับ
ดาบที่คม โล่ที่แกร่ง ไม่ได้เกิดจากการเสก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น