วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ดาบที่คม โล่ที่แกร่ง ไม่ได้เกิดจากการเสก

ดาบที่คม โล่ที่แกร่ง ไม่ได้เกิดจากการเสก

ตอนแรกตั้งใจว่าไม่เขียนเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วมอีกแล้ว
ไม่ใช่เพราะไม่รู้จะเขียนอะไร
แต่มีเรื่องมากมายให้เขียนจนรู้สึกว่า ถ้าจะเขียน คงต้องเขียนทุกวัน
ซึ่งในจุดนี้ ไม่ค่อยอยากจะทำแบบนั้น ไม่ค่อยอยากจะด่าใคร ไม่ค่อยอยากจะเสนอหน้า
เพราะรู้สึกเอียนกับภาวะมาม่าขนาดตลาด แต่ดราม่าท่วมท้นยิ่งกว่าปลาวาฬ 50 ล้านตัว 

เพราะฉะนั้นในเมื่อตัดสินใจจะเขียนแล้ว ก้หวังกับตัวเองว่า นี่จะเป็น blog สุดท้าย
เกี่ยวกับสถานการณ์นี้
แล้วคงจะไม่พูดอะไรที่เกี่ยวกับประโยชน์ หรือข้อปฏิบัติกับการรับมือน้ำ
เพราะมันจะเป็นประโยชน์ต่อทุกคนมากเกินไปหน่อย
ในขณะที่คลิปต่างๆ หน่วยงานต่างๆก็เสนอแนะได้ดีกว่าเราทั้งสิ้น


ดังนั้นประเด็นที่จะพูดถึงก็คงเป็นเรื่องราวดราม่าทั้งหลาย
ดราม่าเหล่านี้ทำให้เราเติบโตขึ้นอีกนิดหนึ่ง และทำให้เรามีจุดยืนที่ชัดเจนขึ้นอีกมากโขทีเดียว
มันทำให้เราเฝ้าสำรวจตัวเองทุกค่ำเช้า ขณะที่เราสำรวจสังคมนี้
ในขณะที่เรามองดราม่า ด้วยสายตาที่เราคิดว่า เป็นกลาง
แม้ตัวเราจะไม่เป็นกลางก็ตามที

เราได้พบเห็นยืนยันชัดเจน ในสิ่งที่เราเขียนไปใน blog ก่อนๆว่า
เมื่อคนเรารู้สึกเดือดร้อน เราจะไม่ค่อยมองว่า สาเหตุที่เกิดขึ้นนั้น มันมาจากไหนกันแน่
แต่ความคิดของเรานั้น จะรู้สึกหาใครสักคนมาเป็นแพะ เป็นผู้รับผิดชอบ เป็นคนที่เราอยากจะโยนขี้ให้ทันที
ซึ่งใครคนนั้น ไม่ใช่ใครอื่น คนนั้นก็คือ "คนที่เราไม่ชอบ"

ดังนั้นการที่รัฐบาลซึ่งเป็นองค์กรที่มีอำนาจที่สุดในการบริหารบ้านเมือง
จะถูกโจมตีอย่างรุนแรง ด้วยข้อหาต่างๆ เช่น
- เป็นสาเหตุของน้ำท่วม (อันนี้ทุกคนก็น่าจะรู้อยู่แล้ว ว่าไม่ใช่)
- บริหารจัดการ วางแผนไม่ดี (อันนี้เราไม่แน่ใจ เพราะถ้าเป็นเรา ก็คงทำได้ไม่ดีกว่า)
- บริหารคน และการเชื่อมโยงกันของหน่วยงาน (ตามที่เราเห็น อันนี้ทำได้ไม่ดีจริง)
- บริการการข่าว การให้ข้อมูลอย่างไร้ระบบ (อย่างที่เราเห็นกันแล้ว จากการข่าวของ ศภอ.)
นี่เป็นข้อกล่าวหาบางประการเท่านั้น ยังมีข้อกล่าวหาอีกมากมาย ที่เข้าข่าย fallacy
ที่หนักๆ ก็เห็นจะเป็น hate speech ทั้งหลาย
- ข้อกล่าวหาที่โยงนายกเข้ากับการเกลียดพี่ชาย spongebob
- ข้อกล่าวหาที่ว่า เป็นผู้หญิง ไม่มีความสามารถ
- ข้อกล่าวหาที่ว่า พูดจาไม่รู้เรื่อง
และอื่นๆอีกมากมาย
สิ่งเหล่านี้ ก็ได้กลายเป็นกระแสที่คนที่ไม่ชอบรัฐบาล ต่างออกมาซัดใส่นายกอย่างรุนแรง

มีคนโจมตีก็ต้องมีคนสนับสนุนเป็นธรรมดา
คนที่ออกมาสนับสนุน ก็มีหลายรูปแบบเช่นเดียวกัน
แบบที่ดีๆ ก็มีมากมาย
แต่แบบที่เหี้ยก็มีมากมาย ในลักษณะเดียวกันกับผู้โจมตีนั่นแล

สิ่งที่เรามองเห็นจากจุดที่เรายืนอยู่ก็คือ
ถ้าเราลองมองเปรียบเทียบระหว่างยุคของรัฐบาลปู กับยุครัฐบาลมาร์ค
เราไม่พูดถึงรัฐบาลนะ เราพูดถึงคนในสังคม

เราจะเห็นได้ว่า จริงๆแล้ว มันแทบจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย
มันเป็นการเล่นละครฉากเก่า แต่สลับบท
คนที่เคยด่า โจมตีรัฐบาล ก็กลายเป็นฝ่ายเชียร์
คนที่เคยเชียร์ ก็หันกลับมาโจมตี
โดยใช้หลักตรรกะเดียวกัน
ใช้ข้อโจมตีเดียวกัน
และกำแพงปกป้องเดียวกัน
แค่สถานการณ์ต่างกันก็เท่านั้นเอง

รัฐบาลทั้งสองต่างโดนข้อกล่าวหาต่างกัน
เราสนับสนุนฝ่ายไหน ย่อมมองว่า ข้อกล่าวหาอีกฝ่ายรุนแรงกว่า
และมีข้ออ้าง ให้ฝ่ายเราเอง

ในวันที่เราเคยอยู่ฝ่ายต่อต้าน
เราเคยโจมตีรัฐบาลอย่างไม่เว้นวรรค หรือไม่?
เราเคยจับเอาเรื่องเล็กน้อยมาเป็นประเด็นโจมตีรัฐบาลหรือไม่?
เราเคยใส่อารมณ์กับฝ่ายที่ปกป้อง และมองว่า มีตรรกะอันมืดบอดหรือไม่?

แล้วในวันที่เรากลายร่างเป็นฝ่ายสนับสนุน เราทำอย่างไร?
เราปกป้องแบบมองว่ามันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ หรือไม่?
เราปกป้อง โดยมองว่า ทำไมต้องดราม่า ทำไมต้องหาเรื่องโจมตีกัน หรือไม่?
เราปกป้อง โดยเอาความผิดของคนอื่น มาเสนอ
เพื่อที่จะกลบเกลื่อนความผิดของคนที่เราปกป้อง หรือไม่?

เราพูดได้เต็มปากแค่ไหน ว่า เราเป็นปัญญาชน?
เรามองสถานการณ์ แล้วรู้จักยอมรับหรือไม่ ว่า สิ่งใดคือปัญหา และสาเหตุ
เรายอมรับความผิดของคนที่เราปกป้อง แล้วพร้อมจะตรวจสอบ และโจมตีหรือไม่?
แล้วเราพร้อมที่จะมองหาข้อดี สิ่งที่เขาทำดีแล้ว ของฝ่ายที่เราต่อต้านหรือไม่?

.........

มันเป็นคำถามที่เราอยากจะฝากไว้ให้ทุกคนที่อ่าน
อยากให้เกิดสติ ในการเสพข่าวการเมือง และสถานการณ์
เพราะมันจะทำให้เราไม่ใช้อารมณ์อัดเข้าไปล่วงหน้า โดยที่มองเพียงจุดเดียว
ข้อมูลข่าวสารจากด้านเดียว หรือ รับทั้งสองด้านแต่เชื่อแต่ด้านที่เราสนับสนุน


แต่เราไม่ได้พูดว่า ห้ามโจมตี และห้ามสนับสนุน
ตรงกันข้าม เราสนับสนุนให้ทำด้วยซ้ำ
แต่เราจะทำอย่างไรถึงจะดี (ในความเห็นของเรานั้น)
ควรมีข้อคำนึงอย่างไรบ้าง
1. มีประเด็นจะโจมตี
2. มีหลักฐานประกอบการโจมตี
3. ไม่ใช่ fallacy อย่างน้อยก็ใช้เนียนๆหน่อย
4. มีข้อเสนอแนะ ในสิ่งที่ควรแก้ไข

จะขอยกตัวอย่าง link ที่จะสื่อตัวอย่างได้ชัดที่สุด คือ
http://www.facebook.com/notes/kalyakorn-earn-naksompop/%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B8%B4%E0%B8%87-%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B2-%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B8%B4%E0%B8%87-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81/10150344750247711
(ขอโทษที ตัด link ไม่เป็น ใครรู้สอนหน่อย)

จากครั้งแรกที่เราอ่าน เรารู้สึกว่า เขามีประเด็นที่จะโจมตีอยู่
- โจมตีว่า รัฐบาลทำงานไม่เป็น
- นายกปูทำให้ภาพลักษณ์ของผู้นำหญิงต้องเสื่อมเสีย
- ถ้าไม่มีพี่ชายคอยสนับสนุน ก็ทำอะไรไม่เป็น

เรามีความเห็นว่า การโจมตีครั้งนี้ จัดว่า ยังมีน้ำหนักไม่เพียงพอ
และมีเป็นการโจมตีที่เลื่อนลอยไปหน่อย ในประเด็นที่สาม
เพราะว่า อย่างแรกคือ มีประเด็นการโจมตี แต่ไม่มีจุดอ้างอิงเลยว่า โจมตีที่จุดไหน
ในกรณีนี้ ถ้าจะให้ดี ควรยก source มาอ้างไปเลยว่า
รัฐบาลชุดนี้ บริหารจัดการน้ำไม่ดีอย่างไร ในกรณีไหน เช่น ดอนเมือง หรือ นิคมอุตสาหกรรม
ยกเหตุการณ์มาให้เกิดการโต้เถียงเลยจะดีกว่า
เพราะหากพูดลอยๆ คนที่อ่านก็สามารถยกเหตุการณ์อีกล้านเหตุการณ์มากล่าวอ้าง เพื่อสนับสนุนตัวเองได้
เช่น คนที่โจมตีรัฐบาลอาจพูดว่า นิคมอุตสาหกรรมท่วมแล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้บอกไม่ท่วม
หรือ คนที่ปกป้อง ก็อาจยกว่า ในเมื่อรัฐบาลบอกว่า จะปกป้องกรุงเทพชั้นใน ก็ปกป้องได้จริงๆ
แล้วดำเนินการไม่ดีอย่างไร
จะเห็นได้ว่า ต่างคนต่างมีเหตุผลสนับสนุนของตัวเอง ดังนั้น เถียงไปก็ไม่จบ
ถ้ายกตัวอย่างมาเป็นประเด็น เป็นเหตุการณ์ แล้ววิจารณ์ไปเลย จะทำให้คนมุ่งประเด็นมากกว่า

ส่วนในประเด็นที่สามนั้น
ในบทวิจารณ์นั้น มุ่งโจมตี ในจุดที่คิดเอาเอง แล้วเอามาโจมตี เช่น

"แล้วก็พาลสงสัย ว่าประวัติที่ผ่านมาของคุณยิ่งลักษณ์ ก็เป็นผู้บริหารบริษัทใหญ่ระดับประเทศทั้งนั้น แล้วบริษัทเหล่านั้นรอดมาได้อย่างไร สงสัยแม้กระทั่งว่าคุณยิ่งลักษณ์เคยทำงานเองจริงๆหรือไม่ หรือได้แค่ใช้วุฒิการศึกษาที่ดูดี แต่งตัวดีๆ แต่งหน้าดีๆ ไปนั่งเฉยๆ ให้บริษัทนั้นดูภาพลักษณ์ทันสมัยขึ้น แค่นั้น? ...ถามจริงๆเถอะ ความสามารถในการสื่อสารและการทำงานระดับนี้ ถ้าไม่มี “พี่ชาย” คอยผลักคอยดันอยู่ข้างหลัง ป่านนี้คุณยิ่งลักษณ์จะทำอะไรอยู่ที่ไหน? ให้เดานะคะ ...แต่งตัวสวยๆ กลางวันไปช๊อปปิ๊ง ไปสปา กลับมานั่งสวยรอให้สามีชื่นชม" 

อันนี้เป็นเรื่องส่วนตัว ซึ่งไม่เกี่ยวกับการทำงานของรัฐบาลเลย แบบนี้เราก็ไม่สนับสนุน

เมื่อดูข้อโจมตีแล้ว ก็มาดูการโต้ตอบกันบ้าง แต่เนื่องจาก blog นี้เริ่มยาวมากแล้ว
เราขอสรุปเลยได้ไหม ถ้าจะให้ copy มา คงจะยาว ถ้าอยากรู้ว่า เรายกมาจากข้อความไหน
ให้ลงไปอ่านใน comment ใน note นั้น ก็จะเจอ

ตัวอย่าง เช่น
- เอาความผิดของรัฐบาลที่แล้วมา แล้วพูดว่า รัฐบาลที่แล้ว ทำผิดหนักมากกว่านี้ ทำไมถึง
ตั้งหน้าตั้งตาเชียร์กันได้
- คุณโจมตีเพศตัวเอง! แล้วใครจะให้เชื่อกับคำพูดของคุณ เหมือนคุณโจมตีตัวเอง
- เอาความดังของนามสกุลมาเรียกร้องความสนใจ

หรือคำด่า จากทั้งสองฝ่ายที่ซัดใส่กัน เช่น
อีสลิ่ม!! ควายแดง!! รับเงินทักษิณ!! ลูกน้องมาร์ค!!
แบบนี้ก็ไม่เอานะครับ เลิกเหอะ กูโคตรจะเบื่อเลย!!

ถ้าเรากล้าแสดงออกกันแล้ว เป็นแนวทางที่ดีแล้วนะครับ ที่ทุกคนต่างตื่นตัวทางการเมือง
แต่ก้าวต่อไป อยากให้แสดงออกอย่างมีคุณค่าด้วยครับ

ดาบที่คม โล่ที่แกร่ง ไม่ได้เกิดจากการเสก

วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เราอยากสูงขึ้น หรือ เราอยากจะต่ำลง


เราอยากสูงขึ้น หรือ เราอยากจะต่ำลง

ในขณะที่จีนกำลังรุดหน้า พาตัวเองไปสู่ยอดปิรามิดทางเศรษฐกิจของโลก
เศรษฐกิจมวลรวมดูดี กลายเป็นมังกรตัวใหญ่ของเอเชียอย่างเต็มภาคภูมิ
แต่คุณภาพของประชากรกลับถูกตั้งคำถามด้วยเครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่
ไม่ใช่จากใคร
จากประชาชนชาวจีนด้วยกันเอง

http://apps.facebook.com/theguardian/commentisfree/2011/oct/22/china-nation-cold-hearts?fb_ref=U-qrATdohmC76V4aY_IwL8cX-CFCONX01FRS-32zf5XXX&fb_source=home_multiline&fb_action_types=news.reads

จาก artical กล่าวถึงจิตใจอันไร้มนุษยธรรม เย็นชาต่อเพื่อนมนุษย์ที่สุดโต่งของชาวจีน
ชาวจีนส่วนใหญ่จะไม่สนใจใครทั้งสิ้น หากเรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องของตัว
ไม่ว่าใครจะตาย ไม่ว่าใครจะเป็นอย่างไร
พี่แกไม่เคยเห็นอยู่ในสายตา

จาก artical ได้ยกตัวอย่างไว้สองสามเรื่อง
เรื่องหนึ่งคือ เรื่องของเด็กหญิงชาวจีน ที่ถูกรถทับ
แล้วคนที่เดินผ่านไปผ่านมาไม่ได้สนใจจะช่วยแม้แต่น้อย
จนในที่สุดรถคันที่สองผ่านมา แล้วทับซ้ำลงไปอีก

เมื่อเด็กแน่นิ่ง หญิงเก็บขยะผ่านมา เจอเด็ก แล้วก็ช่วยไว้
พอแม่เด็กพาส่ง รพ. ทุกอย่างก็สายไปแล้ว

http://www.youtube.com/watch?v=w2A7KD0KGKM

เรื่องที่สอง เป็นเรื่องของชายแก่ชาวจีนที่ล้ม แล้วสลบ ฟุบคว่ำหน้าอยู่กลางตลาด
แต่คนในตลาดไม่มีใครช่วยสักคน จนลูกสาวมาพบ
แล้วพบว่าพ่อขาดอากาศตาย เพราะเลือดกำเดาทะลักปิดทางหายใจเสียหมด

ส่วนเรื่องที่สาม เป็นชายหนุ่มชื่อ Peng เดินมาพบหญิงแก่ล้มอยู่ข้าวทาง
จึงเข้าไปช่วยและพาส่ง รพ.
ในภายหลังชายหนุ่มถูกครอบครัวของหญิงชราฟ้องศาล ว่าเป็นต้นเหตุ
โดยให้เหตุผลว่า "ถ้าเขาไม่ได้เป็นต้นเหตุ เขาจะช่วยทำไม"
ในที่สุดเมื่อศาลตัดสินแล้ว แต่ประชาชนมากมายช่วยกันกดดัน
ทำให้ชายหนุ่มต้องจ่ายค่าปรับเพียง 10% ของค่าปรับตอนแรกที่ตัดสิน
แต่ประเด็นคือ จ่ายอยู่ดี!

หรือเช่น link นี้
http://9gag.com/gag/399710?ref=fb-share
อันนี้ไม่รู้ที่ไหน อาจจะไม่ใช่จีนก็ได้

จากตัวอย่างทั้งหมดนี้
ขัดกับ common sense ของเราแค่ไหน


แต่ประเด็นคือ แล้วสังคมของเราล่ะ?

เราเชื่อว่า สังคมของเรายังดีกว่านั้นมากนัก
คนในสังคมของเรายังมีน้ำใจให้กัน ช่วยเหลือกัน
เวลาลำบากก็พร้อมจะเสียสละเพื่อผู้อื่น
อันนี้หมายถึงส่วนใหญ่นะ
แม้จะไม่ดีบ้าง แต่มันก็เป็นธรรมดาของมนุษย์ที่ยอมรับกันได้

เราพึ่งเข้าใจว่า เรื่องมนุษยธรรม เรื่องน้ำใจนี่ มันไม่ใช่เรื่อง common sense
ที่ทุกคนบนโลกนี้จะมีมาตรฐานเดียวกัน

แต่ระดับ common sense ทางจริยธรรมของเราสูงกว่าของจีนนัก
ยกตัวอย่างง่ายๆ เรามี SLIM เต็มเมือง เพราะฉะนั้นระดับมาตรฐานจริยธรรมของเรา
ต้องอยู่ในระดับพิเศษแน่นอน

สาเหตุใด ที่ทำให้ระดับจริยธรรมของจีนอยู่ในระดับนั้น
แล้วสาเหตุใด ที่เป็ตัวสร้างจริยธรรมในสังคมเรา?

ค่านิยม วิถีชีวิต วัฒนธรรม ศาสนา การศึกษา วิทยาศาตร์ สภาพการเมืองการปกครอง
สภาพภูมิอากาศ ภูมิประเทศ เศรษฐกิจ หรือ ว่าจะเป็นตำแหน่งที่ตั้งของประเทศ?

มีปัจจัยใดบ้างที่ส่งผล ปัจจัยใดบ้างไม่เกี่ยวกัน


ช่างหัวปัจจัยต่างๆเหล่านั้นไป
สิ่งที่อยากบอกคือ เราภูมิใจกับระดับจริยธรรม มาตรฐานในสังคมไทยเราหรือยัง
เราอยากให้มันสูงขึ้น
หรือ
เราอยากให้มันต่ำลง
การกระทำ และค่านิยมของคนในสังคมจะเป็นผู้กำหนด
คนหนึ่งในสังคมนั้น ก็คือ คุณ

วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ช่วยฟังความคิดของสลิ่มคนหนึ่ง


ช่วยฟังความคิดของสลิ่มคนหนึ่ง

ปกติจะไม่เขียนอะไรแบบนี้
แต่ครั้งนี้ทนไม่ได้จริงๆกับสิ่งนี้

http://www.facebook.com/photo.php?fbid=294760137218006&set=a.127657057261649.17090.127655640595124&type=1&ref=nf

ถ้าดูภาพแล้ว อ่าน comment ด้วย จะรู้สึกฟินมาก
รู้สึกว่า สิ่งที่กูพยายามทำ พยายามช่วยกันมาตลอดนั้น
มันไร้ค่าสิ้นดี

ถ้าที่ผ่านมาไม่ต้องมีใครทำอะไรเลย
ไม่ต้องไปช่วยใคร ไม่ต้องเหนื่อยแรง ไม่ต้องเหนื่อยกาย ไม่ต้องลำบาก
ผู้ว่งผู้ว่า ก็ไม่ต้องกระดิกตีน ไม่ต้องลงแรง ไม่ต้องเปลืองทุน
แล้วปล่อยให้น้ำมันทะลักเข้าใส่กรุงเทพไปเลย
แล้วทุกที่ก็จมอยู่ใต้น้ำ แล้วรอให้น้ำค่อยๆไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ใช้เวลาเพียงเดือนเดียว น้ำก็น่าจะแห้งหมด
แล้วค่อยกลับมาฟื้นฟูกันใหม่
น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

เหรอ?


แน่ใจนะว่านี่คือสิ่งที่ดี?

ครั้งนี้เราอาจจะคิดด้วยมุมมองของชนชั้นกลาง
คิดแบบสลิ่ม
เพราะกูคงจะเป็นสลิ่มจริงๆนั้นแหละ ถึงจะคิดอะไรแบบนี้
คิดถึงความไม่เท่าเทียม
เอาให้กรุงเทพรอด ในขณะที่จังหวัดอื่นท่วมกันระเบิดระเบ้อ....

แต่กูเชื่อว่า ต่อให้กรุงเทพท่วมมิดหัว อย่างมากก็ช่วยร่นระยะเวลาของการท่วม
ได้สักอาทิตย์เดียวล่ะมั๊ง
เราก็ยังคงจมน้ำกันอยู่เป็นเดือนๆอยู่ดี

การที่กรุงเทพจมน้ำ จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

แน่นอน ปริมาณน้ำจากจังหวัดอื่นจะต้องลดลง
ตีให้เต็มที่เลย หนึ่งเมตรครึ่ง....
พอใจหรือเปล่า?
กรุงเทพก็ไม่ได้ใหญ่โตที่จะรองรับน้ำปริมาณมากขนาดนั้นได้หรอกนะ
ก็แค่ท่วมด้วยกัน

ถ้าอย่างนั้นก็คงจะดี จะได้ไม่ต้องมานั่งด่ากัน
เพราะท่วมเหมือนกัน ก็ไม่รู้จะด่าใคร
ก็คงหันไปด่าภาคอีสานไหม ที่ไม่ยอมท่วมไปด้วยกัน
ถ้าแค่คิดจะหาแพะ มันง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย
โทษใครก็ได้ แต่แล้วไง?
ลำบากน้อยลงหรือไม่ สะใจแล้วหรือยัง
ถ้าจะด่าแล้วจะสบายขึ้น น้ำเลิกท่วม จะด่าเท่าไหร่ก็ด่าไปเหอะ
เราก็จะยอมให้ด่ากันด้วย
เพราะทุกวันนี้ เราไม่ได้ภูมิใจ ไม่ได้ดีใจ หรือสมน้ำหน้าคนที่ถูกน้ำท่วมหรอกนะ
ทุกคนก็ช่วยกันเท่าที่จะทำได้
เสียใจก็เสียใจ เป็นห่วงก็เป็นห่วง
การมาพูดแบบนี้ แมร่งโคตรจะทำลายความรู้สึก ทำลายความตั้งใจดีๆที่จะช่วยกัน
ถ้าคิดว่า สิ่งนี้คือ ดีแล้ว
ก็เชิญทำต่อไปเถอะ


แล้วการที่น้ำท่วม กทม จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ทั้งๆที่ตอนนี้ กทม เป็นศูนย์ยุทธศาสตร์ในการจัดตั้งความช่วยเหลือ
เวลาลำเลียงอาหาร ลำเลียงเสบียง และปัจจัยต่างๆ ก็ลุยขึ้นมาจากกทม.ทั้งนั้น
รัฐบาลก็มีฐานอยู่ที่ กทม.
ถ้า กทม. ท่วม
ทุกอย่างก็ชะงัก ไม่มีใครทำอะไรได้
รัฐบาลจำเป็นต้องย้ายศูนย์ไปในจุดที่น้ำไม่ท่วม
อาจจะภาคตะวันออก ตะวันตก หรือ ตะวันออกเฉียงเหนือ
เสียเวลาไหม?
กว่าจะจัดตั้งอะไรได้อีก กว่าจะพร้อมรับมืออีก
เสียหายกันไปอีกเท่าไหร่
ระหว่างนั้น คนจะลำบาก จะตายกันเพิ่มอีกเท่าไหร่

แล้วถ้ากทม.ท่วม อย่าคิดว่าทุกอย่างจะง่าย สบายขึ้น
เพราะนี่คือ พื้นที่ ที่มีปริมาณคนหนาแน่นที่สุด
รัฐบาลจะมีปริมาณงานเพิ่มขึ้นอีกหลายสิบเท่าตัว
อาหาร และปัจจัยสำหรับคนกว่าสิบล้านคน
ไม่ใช่เรื่องง่าย
ตอนนี้ทุกคนดูแลตัวเองได้ รัฐบาลถึงยังไม่ตาย
แต่ถ้าคนสิบกว่าล้านคนนี้
ถูกน้ำท่วมสองเมตร
ทุกอย่างหยุดชะงัก ออกไปทำงานไม่ได้ ออกไปทำช่วยใครไม่ได้
ออกไปทำห่าอะไรไม่ได้ ได้แต่นั่งรอความช่วยเหลืออยู่บน
คอนโดสูงสิบชั้น
นี่คือ สบาย?

ถ้าไฟฟ้าตัด ถ้าน้ำไม่มีใช้ ถ้าอาหารไม่มีกิน
ถุงยังชีพต้องผลิตขึ้นอีกสักเท่าไหร่ เท่าไหร่ถึงจะพอ

คือเราไม่ได้บอกหรอกนะ ว่าเราลำบากไม่ได้
เราท่วมไม่ได้ แต่ถ้าท่วมสองเมตร ปัญหาทุกอย่างจะตามมาแบบล้นมือ
ไม่มีใครจัดการอะไรได้ รัฐบาลทำงานหนักขึ้นอีกหลายเท่า

มันถึงต้องค่อยๆควบคุมน้ำ
กทม. ไม่ได้ท่วมไม่ได้
ท่วมได้ แต่ต้องไม่ตาย
ท่วมครึ่งเมตร เมตรนึง ท่วมมาเลย รับได้
แต่ไม่ใช่สองเมตร สามเมตร มิดหัว
เพราะถ้าเมืองตาย คนจำนวนมาก ก็ตายตามไปด้วย

ถ้าคิดถึงประเทศจริงๆ ถ้าคิดถึงคนส่วนมากจริงๆ
อย่าเอาแต่ด่าให้สะใจ ปลุกปั่นให้คนเกลียดกัน
ช่วยคิดจริงๆบ้าง
ว่าอะไรมันเป็นทางออก
ไม่ใช่หาแพะ!!

มนุษยธรรมหน้าจอคอมใช้ได้จริงหรือไม่?


มนุษยธรรมหน้าจอคอมใช้ได้จริงหรือไม่?

เรื่องมีอยู่ว่ามีคนๆหนึ่งเขา add เรามา เพราะได้คุยกันผ่าน page หนึ่ง
เขาเป็นคนที่มีความรู้เยอะ พูดจาดี มีหลักฐานอ้างอิง
เป็นคนที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ประชาธิปไตย

ตลอดมาก็ต่างคนต่างอยู่แม้เขาจะ add มา แต่เราก็ไม่คุย
เราก็ได้เห็นเขา up status up ข่าวสารทุกวัน
ซึ่งทุก status เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเมืองทั้งสิ้น
ซึ่งเอาจริง เขาก็เป็นกลุ่มคนเสื้อแดง
เราก็โอเคต่างคนต่างอยู่
แม้จะเบื่อและรำคาญนิดหน่อยแต่ข้อมูลจากเขาก็เป็นข้อมูลที่น่าสนใจหลายอย่าง

อยู่มาวันหนึ่ง
เขาก็โพส status แรกขึ้นมา เราจำเนื้อหาไม่ค่อยได้แล้ว
แต่ประมาณเกี่ยวกับว่า
พวกที่ชอบไล่คนอื่นที่คิดต่างกับตัวเอง ควรจะหมดไปจากสังคมนี้ได้แล้ว
เขาพูดใจความประมาณว่าหากคุณพูดว่า นายกปู ไม่ใช่นายกของคุณ ก็หมายความว่า คุณไม่ใช่คนไทย
เพราะนี่คือ เสียงของคนส่วนใหญ่
ตอนนั้นรู้สึกหงุดหงิด ก็เลยเข้าไปบอกว่า แล้วทำไมต้องบังคับให้ทุกคนชอบนายกปูเหมือนกันด้วย
เขาก็ตอกกลับมาว่า ไม่ได้บังคับให้ชอบ แต่ถ้าคุณไม่ยอมรับเสียงของคนส่วนมาก
ซึ่งตอนนี้มีรัฐบาลคือ นายกปู ถ้าคุณไม่ยอมรับ ก็เท่ากับคุณไม่ได้อยู่สังคมเดียวกันนี้

เราก็เออ เราคงเข้าใจเขาผิดไป
เราคิดว่า เขาจะไล่คนที่ไม่ยอมรับออกไป
แต่จริงๆคือ เขากำลังพูดว่า ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ เสียงของคนส่วนใหญ่ คุณก็ต้องยอมรับ
เราก็โอเค เข้าใจ ก็ขอโทษเขาไป ที่เราเข้าใจผิด
เขาก็โอเค


สามชั่วโมงต่อมา
เขาก็ตั้ง status อีกว่า
คนที่พูดว่า ถ้าทักษิณติดน้ำท่วมอยู่บนตึกสิบชั้น
แล้วไม่ให้ไปช่วย มันมีมนุษยธรรมไหม?
แล้วถ้ามีญาติโกโหติกาของคุณอยู่ด้วย
คุณจะไปช่วยไหม หรือจะไม่ไป เพราะเท่ากับเป็นการช่วยทักษิณด้วย
แล้วเขาก็ด่าอะไรสักอย่างเนี่ยแหละ จำไม่ได้
แต่ขอสรุปใจความที่เค้าโพสคือ
เขาต้องการบอกว่า การที่คุณจะไม่ช่วยใครสักคน เพราะคุณเกลียด
เป็นเรื่องที่ bull shit มาก เพราะแสดงว่าคุณไม่มีมนุษยธรรม
คนมากด like เต็มเลยยยยย

พอเราอ่านจบ เราก็เกิดอาการรับไม่ได้ขึ้นมาทันที

เราจึงเข้าไปเกรียนอีกว่า
แล้วถ้าเปลี่ยนทักษิณ เป็นฆาตกร ข่มขืน จะเข้าไปช่วยไหม

เค้าก็ตอบว่า
แล้วทักษิณเป็นฆาตกรข่มขืนหรือไง แล้วถึงแม้ว่าจะเป็นฆาตกร ข่มขืน ก็ต้องช่วยอยู่ดี
เพราะมันคือ มนุษยธรรม!!

เราก็บอกว่า
อ๋อ เปล่า เราไม่ได้มีปัญหากับทักษิณหรอก เราไม่ได้เกลียดทักษิณถึงขนาดจะฆ่าจะแกงกัน
แต่แค่อยากรู้ว่า ไอ้มนุษยธรรมเนี่ย มันมีขอบเขต มีเส้นแบ่งไหม?
เราเลยลองสมมติเคสนี้ให้สุดทางดู
ถ้าฆาตกรคนนี้ ขึ้นมาบนเรือแล้วฆ่าทุกคน คุณยังจะช่วยไหม?

เขาก็ตอบว่า
ในอารมณ์นั้นคุณคิดว่า เขาจะฆ่าคนที่มาช่วยชีวิตคุณเหรอ
มนุษยธรรมไม่ควรแบ่งแยก ทุกคนสมควรได้รับการช่วยเหลือ

เราก็ อืมมม...
เราไม่เชื่อในมนุษยธรรมแบบไอเดียลหรอก
เราไม่เชื่อว่า ในทุกสถานการณ์คนเราควรจะช่วยเหลือกันโดยไม่มีข้อแม้
ไม่มี bias ไม่มีความลำเอียง
ที่ตอนนี้เราพูดแบบนี้ได้ เพราะมันเป็นหน้าจอ
ไม่ได้ลงไปทำจริง
ถ้าเราอยู่ในสถานการณ์จริง เราเชื่อว่า ทุกคนย่อมมี bias มีความลำเอียง
มีรัก ชอบ เกลียด ชัง กลัว
แล้วจะไม่เกิดมนุษยธรรมแบบไอเดียลขึ้นมาแน่นอน

เขาก็ยกตัวอย่างเคสขึ้นมาว่า
ในหนังเรื่องไททานิค
ตอนที่เรือกำลังจะจม
เรือลำหนึ่งที่มีคนรวยอยู่แต่ที่นั่งแบบพอดี หนีออกมาก่อนเรือล่ม
ในจังหวะที่เรือจมแล้ว
หญิงคนหนึ่งก็ลุกขึ้นมาพูดว่า
"เราควรจะกลับไปช่วยเขา"
การ์ดประจำเรือก็บอกว่า
"เรากลับไปช่วยเขาไม่ได้ ถ้ากลับไปตอนนี้เราจะถูกคนจำนวนมากปีนป่าย
พากันขึ้นเรือ แล้วเรือจะเสี่ยงต่อการจมมาก"
ผู้หญิงบอกว่า
"คนเหล่านั้นคือสามีของเรา ผู้ชายของเรา ถ้าเรากลับไปช่วย เขาอาจจะยังรอด"
การ์ดบอกว่า
"ห้ามไป ไปไม่ได้ ถ้าจะไป ว่ายน้ำไปช่วยเองละกัน"
ผู้หญิงบอกว่า
"อย่าไปสนใจเขา เราลุกขึ้นมาแล้วขยับจัดที่ จะได้กลับไปช่วย"
การ์ดบอกว่า
"ถ้าไม่หุบปาก จะถีบให้ตกเรือเลย"
ผู้หญิงจึงนั่งลงเงียบ

ตัดฉากมาที่แม่ลูกคู่หนึ่งลอยคออยู่กลางทะเล
ลูกพูดว่า เรืออยู่ไหนคะแม่
แม่บอกว่า เดี๋ยวเรือเขาจัดที่นั่งเสร็จ เขาก็จะกลับมารับเรา

แต่แน่นอนว่า เรือก็ยังไม่กลับมา

เขาก็ถามเราว่า ถ้าเป็นเรา เราจะทำอย่างไร


เราก็ตอบไปตามความคิดของเราว่า
ถ้าเป็นเรา เราจะเป็นการ์ด
ในจังหวะนั้นใครก็ห่วงชีวิตตัวเอง ถึงไม่มีใครยอมลุกขึ้นช่วยผู้หญิงคนนั้น

เราก็บอกว่า หนังมันต้องการฉายให้เห็นถึงจังหวะที่ทุกคนต่างรักตัวกลัวตาย
เพื่อให้คนดูเกิดอารมณ์ร่วมแบบนั้น เพื่อให้สะเทือนใจ

แต่ในความจริงสมมติว่า เกิดทุกคนบ้าจี้ลุกขึ้นมาทำตามที่ผู้หญิงบอก
กลับไปช่วยคนที่กำลังตะเกียกตะกาย
แล้วเกิดถูกดึงจนเรือจมจริงๆ
ตายหมู่หมด

ถามว่า คุ้มไหม?

เราได้อะไรจากสิ่งนี้

ตกลงเรากลับไปช่วยเพื่ออุดมการณ์ มนุษยธรรมของเรา
โอเค มันอาจจะฟังดูดี แต่ผลลัพธ์คือ ตายหมด!
ตกลงเราจะสรรเสริญผู้หญิงคนนี้ไหม?
ถ้าหนังทำมาแบบนี้จริงๆ มีเรือกลับไปรับ แล้วถูกดึงจม
ถามว่าคนส่วนใหญ่จะรู้สึกอย่างไร
1. ผู้หญิงคนนี้น่าชื่นชมจัง สู้เพื่ออุดมการณ์ มนุษยธรรม สูงส่ง
2. ผู้หญิงคนนี้โง่ชิบหาย รอดแล้ว เสือกกลับไปตาย
3. ผู้หญิงคนนี้ คือ ฆาตกร ฆ่าหมู่
ก็เป็นไปได้ทั้งสามข้อนั่นแหละ

แต่ผลลัพธ์คือ ตายหมดอยู่ดี ผู้หญิงคนนั้นเป็นฆาตกรไหม?

แล้วเราก็สรุปว่า เราไม่เชื่อใน มนุษยธรรมแบบไอเดียลหรอก
เพราะปุถุชน ย่อมมี bias อยู่ในกมลสันดานเสมอ

....
....

10 นาที ต่อมา แมร่ง block กูไปเลย

ห่าจิก!!