การศึกษาแบบชาตินิยม
หัวข้อวันนี้ออกจะรุนแรงไปหน่อย
แถมพูดไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นซะด้วย
ถือซะว่า แกว่งปากหาตีนละกัน
ถ้าหากจะถามว่า
การที่คนๆหนึ่งจะเติบโตขึ้นมา และมีแนวความคิดและจุดยืนต่างๆกันไป
มีปัจจัยอะไรเป็นตัวกำหนด
เราก็อาจตอบได้แบบเหมารวมว่า
มีทั้งสภาพแวดล้อม ที่หมายถึงภูมิอากาศ ภูมิประเทศ ซึ่งเราก็คิดว่า
เป็นส่วนหนึ่งในการกำหนดนิสัยคน
อาจเป็นสภาพแวดล้อมรอบตัว ขณะที่เติบโตขึ้นจากเด็กไปสู่ผู้ใหญ่
เช่นสังคม ครอบครัว
อาจจะถูกกำหนดจากนิสัยส่วนตัวด้วยส่วนหนึ่ง
แต่เราคิดว่า มีปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลกระทบใหญ่หลวงพอสมควร
นั่นคือ "การศึกษา"
ถ้าเด็กเปรียบเสมือนผ้าขาว
แล้วครู หรือสังคมก็แต่งแต้มสีต่างๆลงไปบนผ้าขาวนั้น
เด็กซึ่งมีคุณสมบัติที่พร้อมจะรับทุกสิ่งทุกอย่าง เรียนรู้ และปรับตัวได้รวดเร็ว
ก็จะซึมซับเอาสิ่งเหล่านั้นเข้าไปโดยง่าย
และสิ่งที่สอนให้เด็กนั้น มีผลอย่างมากต่อแนวคิดทั้งชีวิตของคนๆหนึ่ง
แนวคิดที่สอนให้ จะเติบโต และกลายเป็นรากฐานของชีวิต ที่จะกำหนด
จุดยืน และ ความคิดที่มีต่อสิ่งต่างๆ
เราถึงใช้คำว่า "ปลูกฝัง"
เพราะเมื่อปลูกฝังลงไปแล้ว
มันเป็นการยากเหลือเกินที่จะขุดขึ้นมา
ถ้าไม่ถอนรากถอนโคน ก็ยากที่จะเปลี่ยนแนวคิดเดิมๆนั้นได้
ตัวมนุษย์ และสังคมมนุษย์ รู้ซึ้งถึงจุดนี้ดี
อยากให้อนาคตอีกสิบ ยี่สิบปีข้างหน้าเป็นอย่างไร
ก็หว่านเมล็ดตั้งแต่วันนี้ แล้วอีกยี่สิบปีข้างหน้า
จะมีคนที่คิดด้วยกรอบความคิดคล้ายๆกัน ดาหน้ากันมาเป็นพรวน
ประเทศไทยของเราก็ใช้วิธีการเดียวกัน
ในการฟูมฟักพลเมืองของตนให้เดินไปในทางที่ผู้นำต้องการ
การใส่เรื่องราวต่างๆ อาจจะเป็น สปช. กพอ. สลน.
ลงไปในหลักสูตรการศึกษาภาคบังคับ ยิ่งทำให้เด็กทั้งประเทศ
ได้รับการปลูกฝัง ประสบการณ์ชีวิต หรือ ลักษณะนิสัย หรือ การงานพื้นฐานอาชีพ
ไปในทิศทางที่เป็นประโยชน์ต่อชาติ บ้านเมือง หรือถ้าเรียกให้ถูก คือ ผู้นำ นั่นแหละ
แนวคิดสมัยเมื่อสามสิบสี่สิบปีที่ผ่านมา
แนวคิดหนึ่งที่ประสบผลสำเร็จอย่างมาก คือ
แนวคิดที่ต้องการปลูกฝังชาตินิยมลงในกมลสันดานของประชาชน
ซึ่งผลิดอก ออกผลงดงาม มาจนถึงทุกวันนี้
เราถูกปลูกฝังมาตลอด จากหนังสือ และสื่อ
ว่า ประเทศไทยเนี่ย เก่งกาจสุดๆในภูมิภาคนี้
ประวัติศาสตร์ชาติไทย ยาวนานไปจนถึงยุคสุโขทัย กินเวลานานมาก
พูดภาษาไทยมาตั้งแต่ยุคนั้น รบกับใครก็ชนะไปหมด
แม้ว่าจะเสียกรุงให้พม่า แต่ก็แค่สองครั้งเท่านั้น
อีกทั้งยังสามารถกอบกู้เอกราชคืนมาได้อีกต่างหาก
ประเทศของเรา ช่างเลิศเลอ เพอร์เฟค เสียนี่กระไร
ซึ่งจริงๆแล้วชื่อว่า ชาติไทย พึ่งมีมายังไม่ถึงร้อยปีเลย
ตัวอย่างที่ยกมานั้น
เป็นตัวอย่าง ของ การศึกษาแบบชาตินิยม
ที่เป็นรากฐานการศึกษาของไทย มาจนทุกวันนี้
ประโยชน์ที่ดี ของ การศึกษาแบบนี้ คือ
ทำให้ประชาชนมีความภาคภูมิใจในประเทศบ้านเกิดเมืองนอนอย่างมาก
และประชาชนจะมีความคิดที่อยากจะพัฒนาประเทศชาติของตัวเองให้เจริญยิ่งๆขึ้นไป
(แม้ว่าเรายังมีคนที่จ้องจะหาผลประโยชน์จากสังคมให้เห็นอยู่เสมอๆก็ตาม)
แต่ผลร้ายที่สุดของการศึกษาแบบนี้ คือ
เราปลูกฝังนิสัยยกตัวเอง ข่มคนอื่นให้คนในชาติมาตั้งแต่ยังเด็ก
เราถูกปลูกฝัง และจะปลูกฝังต่อไป ให้คนในชาติของเรา ดูถูกเหยียดหยาม
คนที่ไม่นับเป็นพวกของเรา
เช่น ถ้าพูดถึงสเกลระดับประเทศ
เรามักมองประเทศเพื่อนบ้านของเรา ด้อยกว่า และดูถูกเขาเสมอ
ถึงเกิดคำว่า พี่ไทย น้องลาว ซึ่งจริงๆ ไม่น่าจะมีคำนี้ด้วยซ้ำ
เพราะทั้งเราและเขา ต่างก็มีศักดิ์ศรีเป็นของตัวเอง
อีกทั้งเรายังเอาชื่อประเทศเขา มาเป็นคำดูถูกกันอีกต่างหาก
ที่น่ากลัวคือ มีคนจำนวนมากที่ยังเห็นว่าเรื่องนี้ เป็นเรื่องปกติธรรมดา
และไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะดูถูกคนอื่น ด้วยถ้อยคำเหล่านั้น
เรามักต่อต้าน และมีอารมณ์เสมอ เมื่อเราโดนดูถูกไม่ว่าจะเป็นใคร
อาจจะเป็นชนชาติอื่น หรือ คนกลุ่มอื่น
เราไม่ยอมโดนดูถูก แต่เรากลับดูถูกคนอื่นหน้าตาเฉย
เราถูกปลูกฝังมาตลอดว่า เราเป็นหนึ่งในภูมิภาคนี้
ไม่ว่าเราจะโดนเป่าหู มาจากไหนก็ตาม เราก็ควรจะเปิดตารับรู้ได้แล้วว่า
ทุกประเทศต่างมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตัวเองกันทั้งนั้น
และต่างคนก็ต่างก้าวไปในแบบของตัวเอง
และที่สำคัญที่สุดคือ เราไม่สามารถก้าวต่อไปได้ โดยการผลักคนอื่นไปข้างหลังหรอกนะ
ถ้าทำแบบนั้น มันคือ การไม่ยอมรับความจริง ดีๆนั่นเอง ว่า เราล้าหลังทางความคิดแค่ไหน
อย่างไรก็ตาม ถ้าเราลดสเกลลงมา เราก็จะเห็นว่า แนวความคิดเหล่านี้
ถูกนำมาใช้กันในสังคมกันอย่างแพร่หลาย
ประชาชนของเราจึงดูถูกกันเอง กดกันเอง อยู่ตลอดเวลา
ใครคิดไม่ตรงกัน ก็ด่าอีกฝ่ายว่า โง่ ควาย สารพัดจะสรรหามาด่ากัน
เพราะเราถูกปลูกฝังว่า "ข้า เป็น ที่หนึ่ง ความคิดกู ถูกเสมอ"
นอกจากแนวความคิดดูถูกคนอื่นแล้ว
เรายังถูกปลูกฝัง ความเชื่อฝังหัว แบบสุดลิ่มทิ่มประตู ขนาดที่ว่า
ใครคิดต่างจากกู มันผู้นั้นไม่สมควรมีชีวิตอยู่อีกด้วย
เราถึงกลายเป็นสังคมที่ไม่มีใครฟังใครกันอยู่ทุกวันนี้
ทุกคนอยากพูด ไม่มีใครอยากฟัง และที่สำคัญไม่มีใครอยากทำ
มาจนถึงทุกวันนี้
จริงๆแล้ว เราก็เชื่อว่า คนไทยเรามีความคิดที่จะอยากพัฒนาชาติและสังคมกันอยู่แล้ว
เพราะนี่คือ ที่ๆเราเกิด ที่ๆเราใช้ชีวิตอยู่
เห็นได้จากความเคลื่อนไหวของกลุ่มเพื่อสังคม และคนจำนวนมากพอดู
ที่ทำงานเพื่อสังคม และคาดหวังจะให้สถานที่แห่งนี้ เป็นที่ที่ดีขึ้น
แต่ปัญหาคือ คนอีกจำนวนมากมักไม่รู้ว่า เราจะทำอะไรเพื่อสังคมนี้
เราจึงมักผลักภาระให้กับคนอื่น อาจเป็นคำรวมๆว่า สังคม หรือ อาจเป็นรัฐบาล ก็ตาม
แต่จริงๆแล้ว เราสามารถสร้างสังคมนี้ได้ด้วยตัวเราเอง
เริ่มจากตัวเราเอง
ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ไม่โบ้ยความรับผิดชอบไปให้คนอื่น
ช่วยเหลือกันเท่าที่ทำได้ เคารพสิทธิ์ และการตัดสินใจของผู้อื่น
เห็นประโยชน์ของส่วนรวมบ้าง
และสิ่งหนึ่งที่อยากขอมากที่สุด
เลิกดูถูกคนอื่นเถอะ แมร่งไม่เท่เลย...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น