วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ก่อนการอุบัติ

ก่อนการอุบัติ

วันหนึ่งเราก็แอบคิดว่า
คนเรานั้นมีความสามารถที่จะเรียนรู้ได้ทุกสิ่ง เทียบเท่ากับอัจฉริยะทุกคนในโลก
คนเราทุกคนนั้นสามารถจะทำอะไรก็ได้ ในขอบเขตความสามารถที่เป็นไปได้ของมนุษย์

แต่สิ่งที่ทำให้คนเราแตกต่างกัน หรือไม่เท่าเทียมกันนั้น
มีอยู่หลากหลาย แบ่งเป็นปัจจัยต่างๆ เช่น

คุณสมบัติส่วนตัว เช่น
ความสนใจ ความทุ่มเท พลังในการจินตนการ

คุณสมบัติภายนอก เช่น
ทรัพยากร สถานะ การเข้าถึงแหล่งความรู้

คุณสมบัติที่ไม่อาจกำหนดได้ เช่น
ช่วงชีวิต โอกาส หรือ ดวง นั่นแหละ

บางครั้งนวัตกรรม หรือความรู้ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในโลก
มันเป็นผลพวงมาจากปัจจัยต่างๆเหล่านี้ ควบรวมกัน
มาในช่วงเวลาที่พอเหมาะพอดี แล้วสิ่งที่พร้อมจะเกิดขึ้น
มันจึงได้ อุบัติขึ้น


แต่ประเด็น ที่อยากบอกในวันนี้ ไม่ใช่เรื่องปัจจัยเหล่านั้น
แต่เป็นปัจจัยหนึ่ง ที่จำเป็นต้องเตรียมความพร้อม เพื่อรอรับการอุบัติ
ของความรู้ และสิ่งใหม่ๆในโลก

สิ่งนั้นคือ พื้นฐานความรู้

จริงๆแล้ว เรื่องที่จะบอกวันนี้เป็นเรื่องที่ธรรมดามากๆ ที่ทุกคนรู้กันดีอยู่แล้ว
แต่แค่รู้สึกว่า ไอ้เรื่องธรรมดาเหล่านี้ พอเอามาคิดดูดีๆแล้ว
มันก็น่าสนใจอยู่เหมือนกันนะ


อยู่ดีๆ เราก็ตระหนักถึงสิ่งนี้ขึ้นมา
เมื่อเราได้อ่านอะไรบางอย่างที่ คนสองฝ่ายมาถกเถียงกัน

โดยที่ฝ่ายที่เห็นอะไรมามากกว่า ก็จะเข้าใจภาพรวมและแสดงความเห็นอย่างวิเคราะห์เป็นเหตุเป็นผล
จากนั้นอีกฝ่ายหนึ่งที่ก็มีความรู้ ความเข้าใจระดับที่เท่าเทียมกัน เห็นอะไรมามากพอๆกัน
ก็แสดงความเห็นโต้แย้ง ขัดง้างอย่างน่าคิดตาม
แต่แล้วก็ยังมีอีกฝ่ายหนึ่ง
ฝ่ายที่ออกตัวว่า เราเรียนมาไม่มาก อ่านหนังสือมาไม่เยอะเท่าคุณ
แต่ยังคิดอะไรเหล่านี้ได้ดีกว่าคุณ
ซึ่งจริงๆแล้ว ก็แสดงความเห็นออกมาได้มืดบอด ตรงกับที่เขาออกตัวมาเลยทีเดียว
และหลังจากที่อ่านไปสักพัก ก็พบว่าฝ่ายที่ผ่านประสบการณ์มาพอสมควร ก็ถกเถียงกัน
ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ทำให้ได้เห็นมุมมองอะไรบางอย่างที่มากขึ้น
เป็นประโยชน์กับทั้งผู้ถกเถียง และเหล่าผู้ชมด้วย

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายที่ออกตัวว่า เราเรียนมาไม่มากนั้น
ก็ยังคงยืนหยัดอยู่บนลำแข้งตัวเอง แสดงความเห็นแบบไม่สนใจใคร
เอาสีข้างเข้าชน ความเห็นเลื่อนลอยและไม่น่าเชื่อถือ เพราะไม่มีเหตุผลประกอบใดๆ
มีแต่เอาอารมณ์ ความรู้สึกส่วนตัวล้วนๆ และเอาความรู้ที่มีอันจำกัด มาขัดง้าง
แต่ก็ยังคิดว่า ตัวเองมีความคิดเทียบเท่ากับผู้ที่ศึกษามาแล้ว
เท่าที่อ่าน ก็สรุปได้ว่า
ขนาดกูไม่ได้เรียน กูยังคิดได้แบบนี้ ถ้ามึงเรียนมาขนาดนี้ แล้วยังคิดไม่ได้แบบกู
มึงก็สมควรพิจารณาตัวเองได้แล้ว


หลังจากที่อ่านการถกเถียงกันอย่างสนุกสนาน เราก็ได้แง่คิดหลายอย่างจากการถกเถียง
รวมทั้งแง่คิด จากนายคนที่ออกตัวว่าเรียนน้อยด้วย

แง่คิดจากการถกเถียงจะขอไม่พูดถึง
แต่แง่คิดจากนายคนที่ออกตัวว่าเรียนน้อย ทำให้เกิด blog นี้ขึ้น

จริงๆแล้ว มาถึงตรงนี้
บางคนอาจจะเข้าใจผิด ว่า เราต่อต้านนายคนนี้ หรือ อยากให้ประณามนายคนนี้
แต่เปล่าเลย เราคิดว่า สิ่งที่นายคนนี้แสดงออก สะท้อนให้เห็นถึงสิ่งธรรมดาที่สุดของมนุษย์
และสิ่งๆนั้นเป็นสิ่งที่ เราคิดว่า คนทุกคนเคยเป็น
มันทำให้เรามองย้อนกลับไปดูตัวเองในสมัยก่อน
และก็พบว่า เราก็เป็นจริงๆ


สิ่งที่เกิดขึ้น สะท้อนให้เห็นว่า
คนเราจะสามารถเรียนรู้สิ่งใด หรือ เปลี่ยนแปลงตัวเองได้
ต้องเปิดใจ พร้อมที่จะยอมรับสิ่งใหม่ และที่สำคัญ ต้องไม่ยึดติดกับความเชื่อของตัวเองแบบสุดโต่ง
เพราะโลกนี้มีมุมมองอันหลากหลาย ที่เรายังไม่เห็นอีกมาก
สิ่งที่เราประสบมา แม้เราจะคิดว่า เราเห็นมุมมองที่หลากหลายแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไร มันก็ไม่มีทางครบ
ดังนั้นถึงมีคำว่า "เห็นต่าง" อยู่เสมอๆ

แต่นอกจากการเปิดใจแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญยิ่งยวดเท่าเทียมกัน
คือ พื้นฐานความรู้

คนเราจะเข้าใจสิ่งใดได้ หรือเข้าใจมุมมองใหม่ๆได้
เราต้องมีประสบการณ์ที่อย่างน้อยก็มีการคาบเกี่ยว คล้ายคลึง หรือ เป็นพื้นฐานของสิ่งนั้น
คนเราจึงสามารถนึกภาพออกได้
เพราะคนเราจะเข้าใจสิ่งใด โดยเชื่อมโยงกับสิ่งที่เราเคยมี
เป็นกลไกทางความคิดแบบหนึ่ง

ดังนั้นหากเราไม่เคยเข้าใจมุมมองใหม่ เราไม่เคยเปิดรับสิ่งอื่นที่นอกเหนือจากมุมมองที่เรายึดมั่น
เราก็ไม่สามารถเข้าใจมุมที่ต่างออกไปได้ และก็พาลคิดไปว่าสิ่งนั้น มันไร้สาระ และไม่เป็นเหตุเป็นผล

ยกตัวอย่าง เช่น

ทฤษฎีสัมพันธภาพพิเศษ ของ ไอน์สไตน์
ถ้าเราบอกว่า เราเข้าใจ มันเป็นเพราะว่า เราอ่านหนังสือ ที่มีการยกตัวอย่างประกอบ
และสร้างภาพที่เกี่ยวโยงกับภาพที่เราพอจะนึกออก แล้วเราถึงเข้าใจมัน
แต่จริงๆแล้ว ไอน์สไตน์ เขียนทฤษฎีนี้ ออกมาเป็นสูตรฟิสิกส์ ที่มีทั้งตัวเลข และตัวแปรมากมาย
ถ้าเราเอามาดู ก็คงมึนตึ๊บ และคิดว่า "เหี้ย พวกนี้มันคืออะไรวะ!!"
ก็เป็นเพราะว่า เราไม่เข้าใจฟิสิกส์ และพวกตัวแปรเหล่านั้น

ถ้ามีคนเอากระดาษแผ่นนี้มาให้และบอกว่า กระดาษแผ่นนี้ สามารถเปลี่ยนโลกได้
เราก็คงหัวเราะใส่หน้า และขยำทิ้ง หรือเอาไปสั่งขี้มูก
เพราะเราไม่เห็นค่าของมัน

หรือ ยกตัวอย่างเรื่องที่ใกล้ตัวอีก เช่น
การที่เราไปดูงานศิลปะ แล้วเราก็ไม่เข้าใจมัน
บางทีเราก็คิดว่า
"เชี่ย นี่มึงทำอะไรวะ!"
หรือ "เอาแปรงปัดๆแค่นี้ กูก็ทำได้"
แล้วเราก็พาลคิดว่า มันเป็นเรื่องไร้สาระ

แต่จริงๆแล้ว มันเป็นเพราะเราไม่เข้าใจศิลปะมาก่อนหรือเปล่า
เราไม่เข้าใจถึงแนวคิด ถึงการแสดงออก ถึงเบื้องหลังและที่มา
มันแปลว่า เราไม่มีพื้นฐานเพียงพอ ที่จะวิเคราะห์ และเข้าใจสิ่งที่เราเห็น
พูดง่ายๆคือ
มันไม่เชื่อมโยงอะไรทั้งสิ้นกับตัวเรา และความคิดของเรา
มันจึงเป็นเรื่องไกลตัวเกินไปสำหรับความเข้าใจ

ดังนั้นการที่เราจะไม่เข้าใจสิ่งที่เกินตัวเรา
และคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ หรืออะไรวะ
ซึ่งที่จริงมันเป็นเรื่องธรรมชาติสุดๆของมนุษย์ธรรมดาที่จะคิดเช่นนั้น
เราจึงไม่ควรที่จะไปเกิดอารมณ์ เมื่อเราถูกตอบโต้ด้วยความเห็น หรือการกระทำ
ที่ประกอบขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ หรือ เป็นความเข้าใจที่แตกต่างจากตัวเรา

สิ่งที่เราควรทำ

มันคือ การซึมซับและวิเคราะห์สิ่งต่างๆรอบตัวที่เราพบเห็น
หรือมุมมองต่างๆที่คนรอบตัวโยนมาให้เรา
แม้ว่ามันจะขัดกับอะไรบางอย่างในตัวเรามากๆก็ตาม

แต่จนบัดนี้ เราถึงได้เห็นว่า แม้มุมมองที่มืดบอดที่สุด
มันก็ยังทำให้เราเข้าใจอะไรบางอย่างของชีวิตขึ้นมาได้

มันจึงส่งผลกลับมาที่ตัวเราเอง ว่า
ก่อนที่เราจะตัดสินอะไรลงไป ก่อนที่เราจะยึดมั่นความเชื่อบางอย่างโดยไม่ลืมหูลืมตา
เราจึงควรถามตัวเองก่อนว่า

เราเข้าใจเรื่องนั้น ดีแล้วหรือ?
เราเข้าใจมุมมองหลากหลายมุมมองเพียงพอหรือยัง?
เราเข้าใจความเป็นมา และความเป็นไป มากน้อยเพียงใด?

และสิ่งสำคัญที่สุดคือ การเปิดใจ พร้อมที่จะเรียนรู้
และค้นคว้าเรื่องราวที่เป็นพื้นของสิ่งที่เราจะวิเคราะห์
เพื่อที่เราจะสามารถต่อยอดความคิดของเราออกไปในทางใดทางหนึ่งได้

จากนั้นเมื่อองค์ประกอบทุกอย่าง ถึงพร้อม ที่จะเกิดขึ้น
อะไรบางอย่างในตัวเรา ก็เตรียมพร้อมที่จะอุบัติขึ้นอยู่ทุกเวลา
สุดท้ายก็เหลือเพียงแค่ รอเวลา และโอกาส เท่านั้นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น