วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ระบบ SOTUS และการรับน้อง

ระบบ SOTUS และการรับน้อง


ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ หลังจากที่ได้ฟังสัมมนาเรื่องการรับน้อง
ที่เกิดเป็นประเด็นถกเถียงกันในขณะนี้

จะหย่อน link ไว้ตรงนี้ เผื่อว่า ถ้ายังไม่ได้ดู หรือว่างมากก็ไปดูกัน

http://www.youtube.com/watch?v=wMNGDxjYJzA&feature=related
อันนี้ประเด็นปัญหาอยู่ที่ part 3-4
http://www.facebook.com/kidlenhentang

http://shows.voicetv.co.th/kid-len-hen-tang/12571.html

จริงๆมี link อื่นอีก แต่คิดว่า ถ้าอยากติดตามก็คงไปหาเองดีกว่า

หลังจากที่ได้รับสารจาก link แรก ก็ได้เขียน blog ไปรอบหนึ่งแล้ว
เพราะตอนนั้นรู้สึกสับสนกับสิ่งที่ได้รับมา และรู้สึกถึงปัญหาที่เกิดขึ้น
แต่เมื่อได้ทำการค้นคว้าต่อไป อ่าน ดู ฟัง ไปเรื่อยๆ รวมถึงได้พูดคุย และรับมุมมองอื่นๆ

นี่คือ สิ่งที่สรุปออกมาได้


ต้องออกตัวก่อนว่า นี่เป็นความคิดเห็นส่วนตัว
ซึ่งเกิดจากจุดยืนของเรา และประสบการณ์ที่ตัวเองได้รับมา
ดังนั้นมันไม่ใช่ความจริง มันเป็นแค่มุมมอง


ถ้าได้ดูสัมมนา หัวข้อ พิธีกรรมการรับน้องใหม่
จะพบว่า ประเด็นปัญหาที่วิทยากรทั้งสามท่าน สรุปออกมานั้น
กล่าวถึงระบบรับน้องว่า มีปัญหาดังนี้

หนึ่ง คือ เรื่องระบบ SOTUS นั้น
เป็นระบบที่เป็นรากฐานให้กับระบบอุปถัมภ์
เนื่องจากในช่วงแรก ระบบนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อนำมาใช้เพื่อสร้างข้าราชการที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นแรงงานให้ชาติ รวมถึงมีความเคารพต่ออำนาจและผู้บังคับบัญชา
ซึ่งในจุดนี้ ระบบ SOTUS ตอบโจทย์ ที่จะทำการฝังแนวความคิดเหล่านี้
ลงไปในตัวนักศึกษาได้อย่างดี

ซึ่งประเด็นที่วิทยากรชี้ให้เห็นคือ ระบบนี้ มันเป็นการสร้างกรอบความคิด
ที่ทำให้นักศึกษาจำนนต่ออำนาจ ติดกับอยู่ในระบบอุปถัมภ์
ที่ต้องมีระดับชนชั้นเป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์อยู่เสมอ
คือ ต้องมีพี่ น้อง อาจารย์ หรืออะไรก็ตาม
ระบบชนชั้นที่ทำให้เกิด พื้นที่ของ อาจารย์ แบ่งขาดออกจากพื้นที่ของนักศึกษา เช่น ห้องน้ำ เป็นต้น
คนที่อาศัยอยู่ในระบบนี้ จึงถูกกรอบความคิดนี้ปิดกั้นให้ลืมเลือนความเสมอภาคทางสังคม
ด้วยระบบชนชั้น และภาษาที่เราใช้กัน
เราจึงไม่สามารถจินตนาการว่า หากเราจะเรียกคนที่เรียนอยู่ชั้นที่แก่กว่าหนึ่งปี หรือน้อยกว่าหนึ่งปี
เราจะเรียกเขาไปอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากพี่ หรือน้อง
ดังนั้นมันจึงเป็นการสร้างความไม่เสมอภาคตั้งแต่แวบแรกที่เจอ
ในขณะที่ทางตะวันตกไม่มี เพราะไม่ว่าจะพูดกับใครก็ใช้ I และ You

นอกจากนี้ระบบ SOTUS ที่เข้มงวด ยิ่งทำให้เกิดพลังอำนาจที่เป็นการปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ของนักศึกษา
ทำให้น้องใหม่ ไม่กล้าที่จะหลุดออกจากแถว เพราะเกิดความกลัวในอำนาจ และแรงกดดัน
หรืออาจจะเป็นความรู้สึกผิดที่ถูกสร้างขึ้นจากความว่างเปล่า เช่น
หากเราไม่เข้าห้องเชียร์ เพื่อนก็จะเป็นคนรับปัญหาแทน
ทำให้เกิดการบังคับ ขู่เข็ญทางจิตใจ
และยิ่งไปกว่านั้น ในระบบรับน้องในบางมหาวทิยาลัย ที่ใช้ระบบ SOTUS โดยคิดไปว่า นี่คือ อำนาจเบ็ดเสร็จ
ทำให้รุ่นพี่สามารถกลายเป็นผู้คุม ในขณะที่น้องใหม่กลายเป็นนักโทษ
เราจะทำอะไรกับน้องใหม่ก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำร้ายทางจิตใจ หรือร่างกาย จนถึงการทำร้ายระดับรุนแรง

สอง คือ การเปลี่ยนจุดการให้คุณค่าของคนในสังคม
ต่อเนื่องจากประเด็นแรก ที่เราถูกระบบรับน้อง สั่งสอนให้ เราให้ความสำคัญกับความอาวุโส

แม้ว่าจะห่างกันแค่ปีเดียว แต่ก็การให้ความเคารพขึ้นมา
ในจุดนี้ วิทยากร ชี้ให้เห็นว่า เราให้ความสำคัญแบบวัฒนธรรมไทยที่อิงระบบอุปถัมภ์มากๆ
ซึ่งเป็นนัยยะที่ชนชั้น ไม่กล้ามีสิทธิ์มีเสียงต่อผู้อาวุโสกว่า
ซึ่งเป็นการให้เคารพที่ผิดจุด

เนื่องจากเราควรให้คุณค่า และความสำคัญของคนอื่น
ในมุมมองอื่นมากกว่าความอาวุโส เช่น ผลงาน บุคลิกภาพและสิ่งที่เขากระทำ

เช่น เรานับถือรุ่นพี่คนนี้ เพราะงานของเขามีคุณภาพได้รับการยอมรับ
หรือ รุ่นพี่คนนี้เป็นคนที่ประพฤติตัวดี น่ายอมรับนับถือ
เราถึงจะให้ความเคารพเขา ซึ่งก่อนหน้านั้นทุกคนควรจะเท่าเทียมกัน

และนี่คือ ประเด็นหลักๆที่สรุปมาได้ จริงๆมีประเด็นย่อยๆอีก แต่ขอผ่านไปละกันนะ


ทีนี้ประเด็นปัญหาอยู่ที่ว่า
คุณ คำ พกา ได้ใช้ถ้อยคำรุนแรง และเร็วเกินไปหน่อย ในมุมมองของเรา
คือ คำพูดว่า
"นักศึกษาจะให้ภูมิใจกับเข็ม หรือหัวเข็มขัดไปถึงไหน ในเมื่อมหาวิยาลัยศิลปากรไม่เคยผลิตศิลปินระดับโลกมาก่อนเลย" 


ถึงจุดนี้ ทำให้เกิดความไม่พอใจจากนักศึกษาและบุคลากรจากมหาวิทยาลัยศิลปากรมากมาย
เพราะเขารู้สึกว่าถูกดูหมิ่นอย่างรุนแรง เนื่องจากเป็นศักดิ์ศรีของมหาวิทยาลัยศิลปะอันดับหนึ่ง


จากทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานี้
ตรงจุดนี้ เราก็สรุปแบบในมุมมองของเรา ซึ่งใส่ความเห็นของเราแล้ว


เอาเรื่อง ประเด็นความขัดแย้งก่อน
ในจุดนี้ เราคิดว่า ครั้งนี้ คุณ คำ พกา พลาดไปหน่อย
การใช้ประโยคที่มั่นใจ แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เช่น "ไม่เคยมี" มันทำให้เกิดข้อโต้แย้งได้มากมาย
เพราะจริงๆแล้วมันมี การใช้ถ้อยคำแบบแสดงความคิดตัวเองออกไปตรงๆ มั่นใจมากๆ
หรือรุนแรง โดยที่ตัวเองไม่ได้หาข้อมูลตรงจุดนี้มาดีพอ ทำให้กลายเป็นข้อโต้แย้งที่ย้อนเข้าหาตัว
และการถกเถียงก็ถูกเบี่ยงประเด็น จากการรับน้อง กลายเป็นการดูหมิ่น

จุดต่อมาคือ เราคิดว่า
คุณ คำ พกา ยึดมั่นในจุดยืนของตัวเองอย่างชัดเจนมากเกินไป โดยใช้ข้อสรุปที่ว่า
"การรับน้องซึ่งถูกสร้างขึ้นด้วยระบบ SOTUS ซึ่งเป็นรากฐานของระบบอุปถัมภ์
เป็นระบบที่ปิดกั้นความคิดและเสรีภาพ ดังนั้นมันเป็นสิ่งไม่ดี ควรยกเลิก"

เมื่อใช้ความรู้สึกส่วนตัว และข้อสรุปส่วนตัวมาตั้งเป็นจุดยืนอย่างชัดเจนขนาดนี้แล้ว
จึงเป็นการปิดกั้นเหตุผลและมุมมองส่วนอื่นของการรับน้อง

เพราะการรับน้องก็เหมือนทุกสิ่งในโลกที่มีทั้งดีและไม่ดีผสมรวมกันอยู่
แตกต่างกันที่ผู้ใช้ และวิธีการใช้
ดังนั้นการเหมารวมว่า ทั้งหมด ควรยกเลิก จึงเป็นทางออกที่เป็นไปได้ยาก
และขัดกับความรู้สึกของอีกฝ่ายหนึ่งมากเกินไป 


จากประเด็นดังกล่าว และข้อมูลที่ยกมา จึงตกทอดมาถึงข้อสรุปของเราดังต่อไปนี้

 ตรงจุดนี้อาจจะต้องแยกระบบ SOTUS ออกจากการรับน้องเพราะแม้มันจะเกี่ยวข้องกัน แต่มันก็ไม่ได้เป็นสิ่งเดียวกัน 
เราจึงอยากเสนอทางออกว่า
เราควรจะล้มเลิกระบบ SOTUS ออกไปเสีย หรืออย่างน้อยก็ตัด SOT ออกไป
เพราะมันเป็นการสร้างค่านิยมแบบอำนาจ และกรอบความคิดที่จำกัดสิทธิ เสรีภาพ
ออกไปจากนักศึกษา ผู้ที่ได้อำนาจ ก็อาจมีการลุ่มหลงในการที่ได้ยืนอยู่เหนือผู้อื่น
แต่อาจจะไม่ต้องถึงกับตัดทิ้งไปทั้งหมด เพราะว่า มันจะเป็นการยากเกินไปที่จะจัดการ
จัดระเบียบคนหมู่มาก หากมันไร้ระเบียบจนเกินไปซึ่งสิ่งนี้จะนำไปสู่การรับน้องแบบใหม่ 
ซึ่งเป็นแบบที่สร้างสรรค์มากขึ้นควรจะมีการตั้งวัตถุประสงค์ และปรับเปลี่ยนการรับน้องไปตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป 
มองประเพณีที่ผ่านมา สิ่งไหนดี อาจจะคงไว้ สิ่งไหนไม่ดี ควรจะปรับเปลี่ยนหรือยกเลิกไป
มองที่วัตถุประสงค์ที่เราอยากให้น้องได้จากการรับน้องมากขึ้นสิ่งสำคัญ คือ free will 
ที่ใจกว้างพอจะให้สิทธิ์น้องเป็นคนเลือกว่า จะเดินทางไหน
ซึ่งไม่ควรมีผลกระทบด้านสังคมตามมาทีหลัง เช่น ถูกแบน เพราะไม่รับน้องหรือ 
การกระทำแบบสร้างความรู้สึก guilty อาจจะลดลงไป เพราะมันทำให้เกิดความรู้สึก
negative กันในระหว่างความสัมพันธ์กับเพื่อนซึ่งในขณะที่จุดประสงค์ของการรับน้องส่วนใหญ่ 
คือ สร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลต่างที่ต่างสังคม ที่จะมาอยู่ร่วมกัน ดังนั้นการสร้างรอยร้าวในความสัมพันธ์

อาจจะเป็นสิ่งที่ผิดพลาดโดยวิธีการถ้าเราลดวิธีการประเภท น้องต้องไหว้พี่ น้องห้ามปีนเกลียว อะไรเทือกนี้
ให้หมดไปจากค่านิยมของระบบรับน้องได้ ความเท่าเทียมกัน หรือการเคารพสิทธิของกันและกัน
ซึ่งเป็นแนวคิดของประชาธิปไตย ก็อาจจะเกิดขึ้นได้ โดยไม่ต้องยกเลิกระบบรับน้องก็ได้แม้ว่าผลกระทบของการรับน้องอาจจะส่งผลที่ไม่ดีต่อสังคมแต่ที่มันยังคงมีอยู่ ก็อาจเป็นเพราะคนยังมองเห็นสิ่งที่ดีจากมันอาจจะเป็นความสัมพันธ์ที่ถูกสร้างขึ้น หรือความทรงจำที่ตัวเองประทับใจ

ดังนั้นเราจึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การรับน้อง ก็มีส่วนดีที่ทำให้ชีวิตมหาวิทยาลัยน่าสนใจขึ้นและในขณะเดียวกัน มันก็เริ่มต้องการการปรับตัว เปลี่ยนแปลง ให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น


http://trumpboyz.blogspot.com

วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2554

กรอบความคิด และการมองจากนอกกรอบความคิด

กรอบความคิด และการมองจากนอกกรอบความคิด

เมื่อวันหนึ่งที่เราเติบโตขึ้น เรียนรู้มามากขึ้น เห็นอะไรมากขึ้น
เรียนรู้ที่จะรับฟังผู้อื่น และคิดวิเคราะห์โดยตัดเอาอารมณ์ออกไปได้
เราก็จะเริ่มมองเห็นภาพรวมของปัญหาที่เกิดขึ้นได้ครอบคลุมมากขึ้น
เราก็จะเริ่มรู้ว่า บางอย่างที่เราเคยเชื่อมาตลอดนั้น
บางทีก็สามารถพังทลายลงได้ง่ายๆ ด้วยความคิดเห็น
อันมีเหตุผลหักล้างจากผู้อื่น

หลังจากนั้นเราก็จะเริ่มรู้ว่า สิ่งที่ปกติธรรมดา
และหลักแนวคิดของสิ่งเหล่านั้นที่ดำเนินไปอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้น
มันมีปัญหา และบางทีมันก็เป็นต้นเหตุของปัญหา

เราก็เริ่มที่จะวิเคราะห์ และแสดงความคิดเห็นออกไป
โดยหวังว่า สิ่งที่เราคิดว่า ถูกนั้น จะสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมไปในทางที่ดีขึ้น

จากนั้นก็จะมีคนที่เห็นด้วยกับเรา และไม่เห็นด้วยกับเรา
บางคนก็โต้ตอบ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้วยเหตุผล
บางคนก็ด้วยอารมณ์ ภาษาก็มีทั้งดอกไม้บ้าง อุตพิดบ้าง หรือ ขี้บ้าง

และด้วยความคิดที่สามารถมองอะไรได้ทะลุมากขึ้น
มองเห็นภาพรวมมากขึ้น เราก็เชื่อมั่นว่า สิ่งที่เราคิดนั้น มันน่าจะเป็นทางที่ถูกที่ควร
แล้วเราก็จะเริ่มมอง เหล่าผู้คนที่หลงติดอยู่ในกรอบเดิมๆ
หลงวนเวียนอยู่ในกรอบของสังคมที่ปกติธรรมดา อันเป็นต้นกำเนิดของปัญหานั้น
กลายเป็นคนที่มองอะไรตื้นเขิน มองปัญหาแบบด้านเดียว
ซึ่งเราสามารถสรุปได้ว่า แนวทางนั้น ไม่สามารถเป็นบ่อเกิดของการพัฒนาทางความคิดได้

ระหว่างที่เรากำลังรับฟังความคิดเห็นเหล่านั้น
ฝ่ายที่ต่อต้านเรา ที่ยังจมอยู่ในกรอบความคิดเดิมๆ
ก็จะใช้เหตุผลประเภทที่เราเห็นว่า ไร้เหตุผลสิ้นดี
เหตุผลประเภท
"คุณไม่เคยมาอยู่ในจุดนี้ คุณก็ไม่เข้าใจหรอก"
หรือ "คุณโตแล้ว คิดเป็นแล้ว แค่นี้ก็น่าจะคิดได้สิ"

ความเห็นแรก อาจจะพอเข้าใจได้ เพราะเราไม่ได้เข้าใจจุดนั้นจริงๆหรือเปล่า
แต่บางปัญหาการมองจากภายนอก ก็อาจมองได้ดีกว่าก็ได้
ส่วนความเห็นที่สอง ต้องยอมรับว่า
เป็นความคิดเห็นที่ผลักภาระ และไร้เหตุผลสุดๆจริงๆ
เพราะการแสดงความคิดเห็นเช่นนั้น เท่ากับว่า
คุณกำลังบอกอีกฝ่ายว่า "ถ้ามึงคิดต่างจากกู แปลว่ามึงโง่!"
แล้วเราก็มองกลับไปแบบเหยียดๆ หรืออาจจะไม่ให้ความสนใจ ขอข้ามไปอ่านความคิดเห็นอื่นดีกว่า


แต่ถ้ามองในมุมกลับกันแล้ว
เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ทางที่เราคิดว่า มันไม่สามารถเป็นต้นแบบของการพัฒนาได้นั้น
ควรจะเปลี่ยนแปลงไปในทางใด
เพราะระบบความคิดนั้นมันได้ขับเคลื่อนสังคมมาระยะหนึ่งแล้ว
สังคมก็เดินไปในทิศทางของมัน ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง
คนที่อยู่ในกรอบความคิดนั้น ก็มีความสุขดีกับสิ่งที่ตัวเองได้พบ
เพราะบางทีเราก็มีความสุขแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก บางทีเราก็ได้รับประโยชน์จากมัน

ระบบที่มีปัญหานั้น ครั้งหนึ่งก็เคยถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาหนึ่ง
จนถึงวันนี้ยุคสมัยเปลี่ยนไป มันก็สร้างปัญหาใหม่ขึ้นมาแทนที่
เราจึงลุกขึ้นต่อต้านมัน และคิดว่า มันไม่สมควรที่เราจะยึดติดในกรอบความคิดนี้อีกต่อไป

แต่ปัญหาคือ
แล้วทางที่เราควรจะเปลี่ยนไปนั้น มันเป็นทางใดกันแน่
เราอาจจะคิดทางแก้ปัญหา ที่น่าจะสามารถแก้ปัญหาระบบกรอบความคิดเดิมๆ
ซึ่งคาดว่า จะนำไปสู่การพัฒนาทางความคิด
แต่แล้ว เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า
ทิศทางนั้น เหมาะสมกับสังคมนี้จริงๆ
เราได้ทำนายปัญหาที่จะเกิดขึ้นใหม่ไว้หรือไม่
เพราะไม่มีระบบใดที่จะมีความเป็นอุดมคติ ไร้ปัญหาอย่างแน่นอน
แล้วปัญหาที่เกิดขึ้นใหม่นั้น มันจะร้ายแรงกว่าปัญหาเดิมหรือไม่ อย่างไร?

ถ้าสมมติว่า เราไม่ได้คิดทางแก้เอาไว้
แต่เราแค่เห็นว่า การเดินต่อไปในทางนี้ ไม่ดี
เราจะลุกขึ้นต่อต้านมันหรือไม่?
ถ้าต่อต้าน แล้วเราจะนำสังคมไปทางใด หรือ จะปล่อยให้เป็นภาระของสังคมต่อไป

หรือ ถ้าเราคิดทางแก้เอาไว้
แต่มีคนในกรอบความคิดเดิมที่ไม่เห็นด้วยอยู่มาก
เราจะลุกขึ้นต่อต้านหรือไม่ แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไร ว่าสิ่งที่เราทำนั้นควรแล้ว
หรือเราจะแค่ทิ้งคำถามไว้ แล้วปล่อยให้เป็นปัญหา หรือ วิวัฒนาการของสังคม
ที่จะต้องหาทางเดินกันต่อไปอยู่ดี


ในสถานการณ์เหล่านี้ คุณคิดอย่างไร และคุณจะลุกขึ้น หรือปล่อยให้ปัญหามันคงอยู่ต่อไป
หรือคุณจะแค่แสดงความคิดเห็น แล้วมันก็จบไป ปล่อยให้สังคมคลำทางกันไปเอง

พูดตรงๆ ในฐานะคนเขียนเอง ตอนนี้คิดไม่ออกจริงๆ

วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2554

การศึกษาแบบชาตินิยม


การศึกษาแบบชาตินิยม

หัวข้อวันนี้ออกจะรุนแรงไปหน่อย
แถมพูดไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นซะด้วย
ถือซะว่า แกว่งปากหาตีนละกัน

ถ้าหากจะถามว่า
การที่คนๆหนึ่งจะเติบโตขึ้นมา และมีแนวความคิดและจุดยืนต่างๆกันไป
มีปัจจัยอะไรเป็นตัวกำหนด

เราก็อาจตอบได้แบบเหมารวมว่า
มีทั้งสภาพแวดล้อม ที่หมายถึงภูมิอากาศ ภูมิประเทศ ซึ่งเราก็คิดว่า
เป็นส่วนหนึ่งในการกำหนดนิสัยคน
อาจเป็นสภาพแวดล้อมรอบตัว ขณะที่เติบโตขึ้นจากเด็กไปสู่ผู้ใหญ่
เช่นสังคม ครอบครัว
อาจจะถูกกำหนดจากนิสัยส่วนตัวด้วยส่วนหนึ่ง
แต่เราคิดว่า มีปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลกระทบใหญ่หลวงพอสมควร

นั่นคือ "การศึกษา"


ถ้าเด็กเปรียบเสมือนผ้าขาว
แล้วครู หรือสังคมก็แต่งแต้มสีต่างๆลงไปบนผ้าขาวนั้น
เด็กซึ่งมีคุณสมบัติที่พร้อมจะรับทุกสิ่งทุกอย่าง เรียนรู้ และปรับตัวได้รวดเร็ว
ก็จะซึมซับเอาสิ่งเหล่านั้นเข้าไปโดยง่าย
และสิ่งที่สอนให้เด็กนั้น มีผลอย่างมากต่อแนวคิดทั้งชีวิตของคนๆหนึ่ง
แนวคิดที่สอนให้ จะเติบโต และกลายเป็นรากฐานของชีวิต ที่จะกำหนด
จุดยืน และ ความคิดที่มีต่อสิ่งต่างๆ
เราถึงใช้คำว่า "ปลูกฝัง"
เพราะเมื่อปลูกฝังลงไปแล้ว
มันเป็นการยากเหลือเกินที่จะขุดขึ้นมา
ถ้าไม่ถอนรากถอนโคน ก็ยากที่จะเปลี่ยนแนวคิดเดิมๆนั้นได้


ตัวมนุษย์ และสังคมมนุษย์ รู้ซึ้งถึงจุดนี้ดี
อยากให้อนาคตอีกสิบ ยี่สิบปีข้างหน้าเป็นอย่างไร
ก็หว่านเมล็ดตั้งแต่วันนี้ แล้วอีกยี่สิบปีข้างหน้า
จะมีคนที่คิดด้วยกรอบความคิดคล้ายๆกัน ดาหน้ากันมาเป็นพรวน

ประเทศไทยของเราก็ใช้วิธีการเดียวกัน
ในการฟูมฟักพลเมืองของตนให้เดินไปในทางที่ผู้นำต้องการ
การใส่เรื่องราวต่างๆ อาจจะเป็น สปช. กพอ. สลน.
ลงไปในหลักสูตรการศึกษาภาคบังคับ ยิ่งทำให้เด็กทั้งประเทศ
ได้รับการปลูกฝัง ประสบการณ์ชีวิต หรือ ลักษณะนิสัย หรือ การงานพื้นฐานอาชีพ
ไปในทิศทางที่เป็นประโยชน์ต่อชาติ บ้านเมือง หรือถ้าเรียกให้ถูก คือ ผู้นำ นั่นแหละ

แนวคิดสมัยเมื่อสามสิบสี่สิบปีที่ผ่านมา
แนวคิดหนึ่งที่ประสบผลสำเร็จอย่างมาก คือ
แนวคิดที่ต้องการปลูกฝังชาตินิยมลงในกมลสันดานของประชาชน
ซึ่งผลิดอก ออกผลงดงาม มาจนถึงทุกวันนี้

เราถูกปลูกฝังมาตลอด จากหนังสือ และสื่อ
ว่า ประเทศไทยเนี่ย เก่งกาจสุดๆในภูมิภาคนี้
ประวัติศาสตร์ชาติไทย ยาวนานไปจนถึงยุคสุโขทัย กินเวลานานมาก
พูดภาษาไทยมาตั้งแต่ยุคนั้น รบกับใครก็ชนะไปหมด
แม้ว่าจะเสียกรุงให้พม่า แต่ก็แค่สองครั้งเท่านั้น
อีกทั้งยังสามารถกอบกู้เอกราชคืนมาได้อีกต่างหาก
ประเทศของเรา ช่างเลิศเลอ เพอร์เฟค เสียนี่กระไร
ซึ่งจริงๆแล้วชื่อว่า ชาติไทย พึ่งมีมายังไม่ถึงร้อยปีเลย

ตัวอย่างที่ยกมานั้น
เป็นตัวอย่าง ของ การศึกษาแบบชาตินิยม
ที่เป็นรากฐานการศึกษาของไทย มาจนทุกวันนี้

ประโยชน์ที่ดี ของ การศึกษาแบบนี้ คือ
ทำให้ประชาชนมีความภาคภูมิใจในประเทศบ้านเกิดเมืองนอนอย่างมาก
และประชาชนจะมีความคิดที่อยากจะพัฒนาประเทศชาติของตัวเองให้เจริญยิ่งๆขึ้นไป
(แม้ว่าเรายังมีคนที่จ้องจะหาผลประโยชน์จากสังคมให้เห็นอยู่เสมอๆก็ตาม)

แต่ผลร้ายที่สุดของการศึกษาแบบนี้ คือ
เราปลูกฝังนิสัยยกตัวเอง ข่มคนอื่นให้คนในชาติมาตั้งแต่ยังเด็ก
เราถูกปลูกฝัง และจะปลูกฝังต่อไป ให้คนในชาติของเรา ดูถูกเหยียดหยาม
คนที่ไม่นับเป็นพวกของเรา
เช่น ถ้าพูดถึงสเกลระดับประเทศ
เรามักมองประเทศเพื่อนบ้านของเรา ด้อยกว่า และดูถูกเขาเสมอ
ถึงเกิดคำว่า พี่ไทย น้องลาว ซึ่งจริงๆ ไม่น่าจะมีคำนี้ด้วยซ้ำ
เพราะทั้งเราและเขา ต่างก็มีศักดิ์ศรีเป็นของตัวเอง
อีกทั้งเรายังเอาชื่อประเทศเขา มาเป็นคำดูถูกกันอีกต่างหาก
ที่น่ากลัวคือ มีคนจำนวนมากที่ยังเห็นว่าเรื่องนี้ เป็นเรื่องปกติธรรมดา
และไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะดูถูกคนอื่น ด้วยถ้อยคำเหล่านั้น

เรามักต่อต้าน และมีอารมณ์เสมอ เมื่อเราโดนดูถูกไม่ว่าจะเป็นใคร
อาจจะเป็นชนชาติอื่น หรือ คนกลุ่มอื่น
เราไม่ยอมโดนดูถูก แต่เรากลับดูถูกคนอื่นหน้าตาเฉย

เราถูกปลูกฝังมาตลอดว่า เราเป็นหนึ่งในภูมิภาคนี้
ไม่ว่าเราจะโดนเป่าหู มาจากไหนก็ตาม เราก็ควรจะเปิดตารับรู้ได้แล้วว่า
ทุกประเทศต่างมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตัวเองกันทั้งนั้น
และต่างคนก็ต่างก้าวไปในแบบของตัวเอง
และที่สำคัญที่สุดคือ เราไม่สามารถก้าวต่อไปได้ โดยการผลักคนอื่นไปข้างหลังหรอกนะ
ถ้าทำแบบนั้น มันคือ การไม่ยอมรับความจริง ดีๆนั่นเอง ว่า เราล้าหลังทางความคิดแค่ไหน

อย่างไรก็ตาม ถ้าเราลดสเกลลงมา เราก็จะเห็นว่า แนวความคิดเหล่านี้
ถูกนำมาใช้กันในสังคมกันอย่างแพร่หลาย
ประชาชนของเราจึงดูถูกกันเอง กดกันเอง อยู่ตลอดเวลา
ใครคิดไม่ตรงกัน ก็ด่าอีกฝ่ายว่า โง่ ควาย สารพัดจะสรรหามาด่ากัน
เพราะเราถูกปลูกฝังว่า "ข้า เป็น ที่หนึ่ง ความคิดกู ถูกเสมอ"

นอกจากแนวความคิดดูถูกคนอื่นแล้ว
เรายังถูกปลูกฝัง ความเชื่อฝังหัว แบบสุดลิ่มทิ่มประตู ขนาดที่ว่า
ใครคิดต่างจากกู มันผู้นั้นไม่สมควรมีชีวิตอยู่อีกด้วย
เราถึงกลายเป็นสังคมที่ไม่มีใครฟังใครกันอยู่ทุกวันนี้

ทุกคนอยากพูด ไม่มีใครอยากฟัง และที่สำคัญไม่มีใครอยากทำ


มาจนถึงทุกวันนี้
จริงๆแล้ว เราก็เชื่อว่า คนไทยเรามีความคิดที่จะอยากพัฒนาชาติและสังคมกันอยู่แล้ว
เพราะนี่คือ ที่ๆเราเกิด ที่ๆเราใช้ชีวิตอยู่
เห็นได้จากความเคลื่อนไหวของกลุ่มเพื่อสังคม และคนจำนวนมากพอดู
ที่ทำงานเพื่อสังคม และคาดหวังจะให้สถานที่แห่งนี้ เป็นที่ที่ดีขึ้น
แต่ปัญหาคือ คนอีกจำนวนมากมักไม่รู้ว่า เราจะทำอะไรเพื่อสังคมนี้
เราจึงมักผลักภาระให้กับคนอื่น อาจเป็นคำรวมๆว่า สังคม หรือ อาจเป็นรัฐบาล ก็ตาม

แต่จริงๆแล้ว เราสามารถสร้างสังคมนี้ได้ด้วยตัวเราเอง
เริ่มจากตัวเราเอง
ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ไม่โบ้ยความรับผิดชอบไปให้คนอื่น
ช่วยเหลือกันเท่าที่ทำได้ เคารพสิทธิ์ และการตัดสินใจของผู้อื่น
เห็นประโยชน์ของส่วนรวมบ้าง
และสิ่งหนึ่งที่อยากขอมากที่สุด
เลิกดูถูกคนอื่นเถอะ แมร่งไม่เท่เลย...