ระบบ SOTUS และการรับน้อง
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ หลังจากที่ได้ฟังสัมมนาเรื่องการรับน้อง
ที่เกิดเป็นประเด็นถกเถียงกันในขณะนี้
จะหย่อน link ไว้ตรงนี้ เผื่อว่า ถ้ายังไม่ได้ดู หรือว่างมากก็ไปดูกัน
http://www.youtube.com/watch?v=wMNGDxjYJzA&feature=related
อันนี้ประเด็นปัญหาอยู่ที่ part 3-4
http://www.facebook.com/kidlenhentang
http://shows.voicetv.co.th/kid-len-hen-tang/12571.html
จริงๆมี link อื่นอีก แต่คิดว่า ถ้าอยากติดตามก็คงไปหาเองดีกว่า
หลังจากที่ได้รับสารจาก link แรก ก็ได้เขียน blog ไปรอบหนึ่งแล้ว
เพราะตอนนั้นรู้สึกสับสนกับสิ่งที่ได้รับมา และรู้สึกถึงปัญหาที่เกิดขึ้น
แต่เมื่อได้ทำการค้นคว้าต่อไป อ่าน ดู ฟัง ไปเรื่อยๆ รวมถึงได้พูดคุย และรับมุมมองอื่นๆ
นี่คือ สิ่งที่สรุปออกมาได้
ต้องออกตัวก่อนว่า นี่เป็นความคิดเห็นส่วนตัว
ซึ่งเกิดจากจุดยืนของเรา และประสบการณ์ที่ตัวเองได้รับมา
ดังนั้นมันไม่ใช่ความจริง มันเป็นแค่มุมมอง
ถ้าได้ดูสัมมนา หัวข้อ พิธีกรรมการรับน้องใหม่
จะพบว่า ประเด็นปัญหาที่วิทยากรทั้งสามท่าน สรุปออกมานั้น
กล่าวถึงระบบรับน้องว่า มีปัญหาดังนี้
หนึ่ง คือ เรื่องระบบ SOTUS นั้น
เป็นระบบที่เป็นรากฐานให้กับระบบอุปถัมภ์
เนื่องจากในช่วงแรก ระบบนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อนำมาใช้เพื่อสร้างข้าราชการที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นแรงงานให้ชาติ รวมถึงมีความเคารพต่ออำนาจและผู้บังคับบัญชา
ซึ่งในจุดนี้ ระบบ SOTUS ตอบโจทย์ ที่จะทำการฝังแนวความคิดเหล่านี้
ลงไปในตัวนักศึกษาได้อย่างดี
ซึ่งประเด็นที่วิทยากรชี้ให้เห็นคือ ระบบนี้ มันเป็นการสร้างกรอบความคิด
ที่ทำให้นักศึกษาจำนนต่ออำนาจ ติดกับอยู่ในระบบอุปถัมภ์
ที่ต้องมีระดับชนชั้นเป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์อยู่เสมอ
คือ ต้องมีพี่ น้อง อาจารย์ หรืออะไรก็ตาม
ระบบชนชั้นที่ทำให้เกิด พื้นที่ของ อาจารย์ แบ่งขาดออกจากพื้นที่ของนักศึกษา เช่น ห้องน้ำ เป็นต้น
คนที่อาศัยอยู่ในระบบนี้ จึงถูกกรอบความคิดนี้ปิดกั้นให้ลืมเลือนความเสมอภาคทางสังคม
ด้วยระบบชนชั้น และภาษาที่เราใช้กัน
เราจึงไม่สามารถจินตนาการว่า หากเราจะเรียกคนที่เรียนอยู่ชั้นที่แก่กว่าหนึ่งปี หรือน้อยกว่าหนึ่งปี
เราจะเรียกเขาไปอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากพี่ หรือน้อง
ดังนั้นมันจึงเป็นการสร้างความไม่เสมอภาคตั้งแต่แวบแรกที่เจอ
ในขณะที่ทางตะวันตกไม่มี เพราะไม่ว่าจะพูดกับใครก็ใช้ I และ You
นอกจากนี้ระบบ SOTUS ที่เข้มงวด ยิ่งทำให้เกิดพลังอำนาจที่เป็นการปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ของนักศึกษา
ทำให้น้องใหม่ ไม่กล้าที่จะหลุดออกจากแถว เพราะเกิดความกลัวในอำนาจ และแรงกดดัน
หรืออาจจะเป็นความรู้สึกผิดที่ถูกสร้างขึ้นจากความว่างเปล่า เช่น
หากเราไม่เข้าห้องเชียร์ เพื่อนก็จะเป็นคนรับปัญหาแทน
ทำให้เกิดการบังคับ ขู่เข็ญทางจิตใจ
และยิ่งไปกว่านั้น ในระบบรับน้องในบางมหาวทิยาลัย ที่ใช้ระบบ SOTUS โดยคิดไปว่า นี่คือ อำนาจเบ็ดเสร็จ
ทำให้รุ่นพี่สามารถกลายเป็นผู้คุม ในขณะที่น้องใหม่กลายเป็นนักโทษ
เราจะทำอะไรกับน้องใหม่ก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำร้ายทางจิตใจ หรือร่างกาย จนถึงการทำร้ายระดับรุนแรง
สอง คือ การเปลี่ยนจุดการให้คุณค่าของคนในสังคม
ต่อเนื่องจากประเด็นแรก ที่เราถูกระบบรับน้อง สั่งสอนให้ เราให้ความสำคัญกับความอาวุโส
แม้ว่าจะห่างกันแค่ปีเดียว แต่ก็การให้ความเคารพขึ้นมา
ในจุดนี้ วิทยากร ชี้ให้เห็นว่า เราให้ความสำคัญแบบวัฒนธรรมไทยที่อิงระบบอุปถัมภ์มากๆ
ซึ่งเป็นนัยยะที่ชนชั้น ไม่กล้ามีสิทธิ์มีเสียงต่อผู้อาวุโสกว่า
ซึ่งเป็นการให้เคารพที่ผิดจุด
เนื่องจากเราควรให้คุณค่า และความสำคัญของคนอื่น
ในมุมมองอื่นมากกว่าความอาวุโส เช่น ผลงาน บุคลิกภาพและสิ่งที่เขากระทำ
เช่น เรานับถือรุ่นพี่คนนี้ เพราะงานของเขามีคุณภาพได้รับการยอมรับ
หรือ รุ่นพี่คนนี้เป็นคนที่ประพฤติตัวดี น่ายอมรับนับถือ
เราถึงจะให้ความเคารพเขา ซึ่งก่อนหน้านั้นทุกคนควรจะเท่าเทียมกัน
และนี่คือ ประเด็นหลักๆที่สรุปมาได้ จริงๆมีประเด็นย่อยๆอีก แต่ขอผ่านไปละกันนะ
ทีนี้ประเด็นปัญหาอยู่ที่ว่า
คุณ คำ พกา ได้ใช้ถ้อยคำรุนแรง และเร็วเกินไปหน่อย ในมุมมองของเรา
คือ คำพูดว่า
"นักศึกษาจะให้ภูมิใจกับเข็ม หรือหัวเข็มขัดไปถึงไหน ในเมื่อมหาวิยาลัยศิลปากรไม่เคยผลิตศิลปินระดับโลกมาก่อนเลย"
ถึงจุดนี้ ทำให้เกิดความไม่พอใจจากนักศึกษาและบุคลากรจากมหาวิทยาลัยศิลปากรมากมาย
เพราะเขารู้สึกว่าถูกดูหมิ่นอย่างรุนแรง เนื่องจากเป็นศักดิ์ศรีของมหาวิทยาลัยศิลปะอันดับหนึ่ง
จากทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานี้
ตรงจุดนี้ เราก็สรุปแบบในมุมมองของเรา ซึ่งใส่ความเห็นของเราแล้ว
เอาเรื่อง ประเด็นความขัดแย้งก่อน
ในจุดนี้ เราคิดว่า ครั้งนี้ คุณ คำ พกา พลาดไปหน่อย
การใช้ประโยคที่มั่นใจ แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เช่น "ไม่เคยมี" มันทำให้เกิดข้อโต้แย้งได้มากมาย
เพราะจริงๆแล้วมันมี การใช้ถ้อยคำแบบแสดงความคิดตัวเองออกไปตรงๆ มั่นใจมากๆ
หรือรุนแรง โดยที่ตัวเองไม่ได้หาข้อมูลตรงจุดนี้มาดีพอ ทำให้กลายเป็นข้อโต้แย้งที่ย้อนเข้าหาตัว
และการถกเถียงก็ถูกเบี่ยงประเด็น จากการรับน้อง กลายเป็นการดูหมิ่น
จุดต่อมาคือ เราคิดว่า
คุณ คำ พกา ยึดมั่นในจุดยืนของตัวเองอย่างชัดเจนมากเกินไป โดยใช้ข้อสรุปที่ว่า
"การรับน้องซึ่งถูกสร้างขึ้นด้วยระบบ SOTUS ซึ่งเป็นรากฐานของระบบอุปถัมภ์
เป็นระบบที่ปิดกั้นความคิดและเสรีภาพ ดังนั้นมันเป็นสิ่งไม่ดี ควรยกเลิก"
เมื่อใช้ความรู้สึกส่วนตัว และข้อสรุปส่วนตัวมาตั้งเป็นจุดยืนอย่างชัดเจนขนาดนี้แล้ว
จึงเป็นการปิดกั้นเหตุผลและมุมมองส่วนอื่นของการรับน้อง
เพราะการรับน้องก็เหมือนทุกสิ่งในโลกที่มีทั้งดีและไม่ดีผสมรวมกันอยู่
แตกต่างกันที่ผู้ใช้ และวิธีการใช้
ดังนั้นการเหมารวมว่า ทั้งหมด ควรยกเลิก จึงเป็นทางออกที่เป็นไปได้ยาก
และขัดกับความรู้สึกของอีกฝ่ายหนึ่งมากเกินไป
จากประเด็นดังกล่าว และข้อมูลที่ยกมา จึงตกทอดมาถึงข้อสรุปของเราดังต่อไปนี้
ตรงจุดนี้อาจจะต้องแยกระบบ SOTUS ออกจากการรับน้องเพราะแม้มันจะเกี่ยวข้องกัน แต่มันก็ไม่ได้เป็นสิ่งเดียวกัน
เราจึงอยากเสนอทางออกว่า
เราควรจะล้มเลิกระบบ SOTUS ออกไปเสีย หรืออย่างน้อยก็ตัด SOT ออกไป
เพราะมันเป็นการสร้างค่านิยมแบบอำนาจ และกรอบความคิดที่จำกัดสิทธิ เสรีภาพ
ออกไปจากนักศึกษา ผู้ที่ได้อำนาจ ก็อาจมีการลุ่มหลงในการที่ได้ยืนอยู่เหนือผู้อื่น
แต่อาจจะไม่ต้องถึงกับตัดทิ้งไปทั้งหมด เพราะว่า มันจะเป็นการยากเกินไปที่จะจัดการ
จัดระเบียบคนหมู่มาก หากมันไร้ระเบียบจนเกินไปซึ่งสิ่งนี้จะนำไปสู่การรับน้องแบบใหม่
ซึ่งเป็นแบบที่สร้างสรรค์มากขึ้นควรจะมีการตั้งวัตถุประสงค์ และปรับเปลี่ยนการรับน้องไปตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป
มองประเพณีที่ผ่านมา สิ่งไหนดี อาจจะคงไว้ สิ่งไหนไม่ดี ควรจะปรับเปลี่ยนหรือยกเลิกไป
มองที่วัตถุประสงค์ที่เราอยากให้น้องได้จากการรับน้องมากขึ้นสิ่งสำคัญ คือ free will
ที่ใจกว้างพอจะให้สิทธิ์น้องเป็นคนเลือกว่า จะเดินทางไหน
ซึ่งไม่ควรมีผลกระทบด้านสังคมตามมาทีหลัง เช่น ถูกแบน เพราะไม่รับน้องหรือ
การกระทำแบบสร้างความรู้สึก guilty อาจจะลดลงไป เพราะมันทำให้เกิดความรู้สึก
negative กันในระหว่างความสัมพันธ์กับเพื่อนซึ่งในขณะที่จุดประสงค์ของการรับน้องส่วนใหญ่
คือ สร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลต่างที่ต่างสังคม ที่จะมาอยู่ร่วมกัน ดังนั้นการสร้างรอยร้าวในความสัมพันธ์
อาจจะเป็นสิ่งที่ผิดพลาดโดยวิธีการถ้าเราลดวิธีการประเภท น้องต้องไหว้พี่ น้องห้ามปีนเกลียว อะไรเทือกนี้
ให้หมดไปจากค่านิยมของระบบรับน้องได้ ความเท่าเทียมกัน หรือการเคารพสิทธิของกันและกัน
ซึ่งเป็นแนวคิดของประชาธิปไตย ก็อาจจะเกิดขึ้นได้ โดยไม่ต้องยกเลิกระบบรับน้องก็ได้แม้ว่าผลกระทบของการรับน้องอาจจะส่งผลที่ไม่ดีต่อสังคมแต่ที่มันยังคงมีอยู่ ก็อาจเป็นเพราะคนยังมองเห็นสิ่งที่ดีจากมันอาจจะเป็นความสัมพันธ์ที่ถูกสร้างขึ้น หรือความทรงจำที่ตัวเองประทับใจ
ดังนั้นเราจึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การรับน้อง ก็มีส่วนดีที่ทำให้ชีวิตมหาวิทยาลัยน่าสนใจขึ้นและในขณะเดียวกัน มันก็เริ่มต้องการการปรับตัว เปลี่ยนแปลง ให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น
http://trumpboyz.blogspot.com