วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ทางวงกตแห่งจิตใจ

ทางวงกตแห่งจิตใจ

อยู่มาวันหนึ่ง
เราก็ลังเลในทางเดินของเรา

ทั้งๆที่ก่อนจะเดินก็คุยกับตัวเองดีแล้ว
เชื่อมั่นแล้วว่า ทางที่เลือกมันถูก

แต่พอทำมันลงไป
กลับหวั่นไหว และลังเลว่า นี่ตกลง กูทำถูกแล้วเหรอเนี่ย!
มันเหมือนจุดยืนที่เราคิดว่าเราเป็นนั้น
มันโยกเยก จะล้มมิล้มแหล่


ปกติไม่เคยเป็นแบบนี้เลย
เพราะว่า เราแทบไม่เคยจะสนอะไร
ถ้าทำแล้ว ก็ทำ แล้วจะมั่นใจกับสิ่งที่ทำ
เพราะถ้าสิ่งไหนไม่มั่นใจ ก็จะเผื่อใจไว้เสมอ

อาการขาดเสถียรภาพนี้ วนเวียนอยู่ในหัวอยู่เกือบสองวัน
เราพยายามค้นหาต้นเหตุของความรู้สึกวุ่นวายใจนี้
แต่ก็หาไม่เจอ

เราวุ่นวายจิตใจอย่างมาก
จนรู้สึกสับสนอย่างรุนแรง

จนในที่สุดเราก็ได้คุยกับเพื่อนเรา
เราได้สื่อสารกับเพื่อนเรา ที่พยายามจะช่วยค้นหาสาเหตุนั้นๆ

ยิ่งคุยกันมากเท่าไหร่ เรายิ่งลงไปสู่ใจเรามากเท่านั้น
เพื่อนเราช่วยเราลอกเปลือกนอกของเราออก
(โอ๊ะ! ประโยคนี้ส่อ โปรดอย่าคิดลึก)
ค่อยๆลอกส่วนที่เป็นอคติ
ลอกส่วนที่เป็นความห่วงในภาพลักษณ์
ลอกส่วนที่เป็นความยึดมั่นในตัวเอง
เพื่อให้เราได้ค่อยๆศึกษาใจตัวเองอีกครั้ง

แล้วเราก็ค่อยๆมองดูในจิตใจของเราทีละส่วนๆ
ทีละความคิด
ทีละขั้นตอน
ทีละมุมมอง
เราถึงค่อยๆเข้าใจตัวเราเองอีกครั้ง
เราถึงรู้ว่า สิ่งที่เราเลือกทำไปนั้น
มันไม่ได้มีอะไรผิดเลย
เราถึงรู้ว่า จุดยืนที่เราเชื่อมั่น และเราคิดว่ามันสั่นคลอน
ที่จริงมันก็ยังอยู่ที่เดิม
เพียงแต่เราถูกบดบังด้วยอะไรบางอย่าง
เราจึงคิดว่ามันหายไป

หลังจากเราได้ทบทวนตัวเองไปพร้อมๆกับเพื่อนเรา
เราถึงได้เข้าใจว่า สิ่งที่ทำให้เราหวั่นไหว
มันเป็นเพียงพลังภายนอก ความคาดหวังของคนอื่น
ความคิดของคนอื่นที่ตัดสินตัวเรา และเป็นเพียงอีโก้ของเราที่บดบังมันไว้

เมื่อเราลอกเปลือกนอกสิ่งเหล่านี้ออก
เราถึงได้เข้าใจตัวเองอย่างแท้จริง
และเมฆสีหม่นที่บดบังอยู่
มันก็จางหายไป กลายเป็นฟ้าอันสดใสอีกครั้ง

เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เราได้คิดอีกหลายอย่าง
อย่างแรกคือ อคติ และความยึดมั่นในสิ่งใดๆ
จะบดบังความคิด และความตั้งใจของเรา
ทั้งการหลงผิดในความเชื่อบางอย่าง ความเชื่ออันเปี่ยมด้วยอคติ
ส่งผลให้เกิดความหวั่นไหว ลังเล ในสิ่งที่ตัวเองเชื่อมั่น
ทำให้การกระของเรานั้นขาดความหนักแน่นต่อเนื่องกัน
ซึ่งในกรณีของเรานั้นยังคงเป็นทางโลก

แต่ในทางธรรมก็เป็นเช่นนี้ด้วย
เมื่อกิเลศและความหลงผิดจะพอกเกาะกุมดวงจิตของเรา
การจะค้นพบแสงสว่างภายใน
เราต้องกะเทาะ ปอกเปลือกสิ่งเหล่านั้นออกเสียก่อน

เมื่อผิวดวงจิต ปราศจากกิเลศเท่านั้น
ดวงจิตก็จะสว่างสดใส โดยธรรมชาติของดวงจิตนั้นเอง



อีกอย่างคือ การสื่อสารกับคนอื่น กลับช่วยให้เราสื่อสารกับตัวเองได้ลึกขึ้น
คนที่เราสื่อสารด้วย ก็ควรเป็นคนที่เหมาะสม มิใช่ใครก็ได้

คำพูด และคำถามที่ถูกตั้งโดยคนอื่น
อาจทำให้เราได้มองตัวเองในมุมมองที่เราไม่เคยมอง
หรือไม่กล้ามองมาก่อน

เราอาจจะกลัวด้านบางด้านของตัวเอง
เราอาจจะไม่อยากยอมรับบางส่วนของตัวเอง
เราอาจจะไม่อยากยอมรับว่าเรามีความคิด ที่เราไม่อยากคิด
แต่ด้วยคำถามตรงๆที่สามารถทะลุไปสู่จิตใจของเรา
มันทำให้เราค้นพบ และยอมรับสิ่งเหล่านั้นได้ง่ายขึ้น

ถ้อยคำแต่ละถ้อยคำ
เหตุผลแต่ละเหตุผล
ทำให้เราเข้าใจตัวเอง และเราก็เติบโต


เราถึงได้รู้ตัวว่า จริงๆตัวเราเองก็ไม่ได้เข้มแข็งพอที่จะอยู่คนเดียว
เราก็ยังคงต้องการคำปรึกษาจากใครบางคน
ต้องการคำปลอบใจ และกำลังใจจากคนรอบข้าง

พลังใจที่เคยมี มันสามารถหมดลงได้ บางทีเราก็ต้องรับมาจากคนที่อยู่รอบๆเรา
พลังใจเหล่านั้น จะถูกส่งผ่านมาทางการกระทำ ผ่านเสียง จนมันแทรกเข้าไปห่อหุ้มจิตใจ
เราถึงเข้าใจว่า คำพูด เมื่อพูดจากใจ กับคำพูดที่ลอยไปตามลม มันต่างกันอย่างเทียบไม่ได้
อีกทั้งคำพูดอย่างจริงใจนั้น บางครั้งก็ต้องเลือกเวลาและจังหวะในการพูด
เพราะจิตใจของผู้รับ บางครั้งก็ต้องการการเยียวยาไม่เหมือนกัน
บางคนต้องลูบ ปลอบเบาๆ
บางคนต้องพูดกระแทกให้คิด
บางคนต้องพูดประชด ให้ขึ้น
บางคนต้องพูดด้วยเหตุผล ค่อยๆเจาะลงไปที่จิตใจของเขา
พลังใจของเรา จึงสามารถไหลรินลงไปเติมในจิตใจของเขาได้


ครั้งนี้ทำให้เรารู้ว่า
พลังใจมีผลต่อชีวิตเราแค่ไหน
เมื่อเราเชื่อมั่นในทางที่เราเดิน ว่าทางนั้นมันถูกแล้ว ดีแล้ว
แต่ละก้าวของเราก็จะมั่นคง ไม่ซวนเซ

แต่หากพลังใจ และความเชื่อมั่นสั่นคลอน
เราก็จะก้าวไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ
และมันจะเป็นสิ่งที่ทำลายจุดยืนของเราไปทีละเล็กละน้อย

แต่ในที่สุด จงอย่ากลัวที่จะได้ค้นหาตัวเอง
อย่ากลัวด้านมืดตัวเอง ให้มองมันอย่างเข้าใจ และยอมรับมัน
และถ้าคุณยังหาตัวเองไม่พบ

อย่าตื่นตระหนก
เราเชื่อว่า คนรอบข้างคุณ พร้อมจะช่วยคุณเสมอ

และท้ายที่สุดคือ
ไม่ว่าจะมีแรงภายนอกมามากเพียงใด
ภายในจิตใจเรา เราต้องเป็นคนจัดการมันด้วยตัวเอง
เพราะไม่มีใครเข้าใจความเป็นตัวเรา เท่าตัวเราอีกแล้ว

2 ความคิดเห็น:

  1. มนุษย์นั้นลวงหลอก แม้แต่เราก็หลอกตัวเองไปวันๆ
    หาที่ยึดมั่นไม่ได้ ศรัทธา ความเชื่อ เหตุผล ความเห็นพ้อง การทดลอง แม้แต่คณิตศาสตร์ ก็เป็นเรื่องลวงโลก
    มองไม่เห็นสารัตถะของสิ่งรอบข้าง
    ความรู้สึกปฏิเสธทุกสิ่งอย่างมันค่อยๆลามมาเรื่อยๆจนกระทั่งถึงตัวเอง

    เหลือเพียง "สัญชาตญาณ" ที่เกรงกลัวความตายเป็นที่เหนี่ยวรั้งให้ยังคงอยู่
    และ"การลืม" เท่านั้นที่ยังทำให้เรากลับไปใช้ชีวิตเหมือนคนรอบข้าง

    ถ้าวันหนึ่งแรงดึงสองอย่างนี้จางลง ก็คงได้เดินทางตามชีวิตใหม่

    ตอบลบ
  2. บางทีการคิดว่า ทุกอย่างคือ สิ่งลวงหลอก
    อาจหมายความว่า เราไม่เคยเข้าใจจิตใจ และความต้องการของตัวเองก็ได้
    เราถึงไม่เชื่ออะไรสักอย่าง
    และคิดว่า มันเป็นเพียงแค่ภาพลวง

    แต่ถ้าเราอยู่กับตัวเองนานเพียงพอ เราอาจจะเข้าใจทางที่เราควรเดิน
    เพื่อค้นหาความจริงในตัวเอง และสิ่งรอบข้างก็เป็นได้

    ตอบลบ