สิ่งที่อยากบอกกับคนหนึ่งคน แต่บอกกับทุกๆคน
คำพูดบางคำของคนหนึ่งคนที่เราเคารพ
เพียงคำพูดสั้นๆ
ก็ทำให้เราได้คิดอะไรบางอย่าง และหันมามองตัวเอง
ว่า สิ่งที่เราทำ หรือสิ่งที่คิดจะทำ มันดีแล้วแน่หรือ
เราคิดว่า การมีที่ยืนในสังคม
บางครั้งเราก็ไม่จำเป็นต้องแสดงออกทุกอย่าง อย่างที่ใจเราอยาก
หลายครั้งเราต้องปั้นแต่งตัวเอง ก่อนที่จะแสดงออกก่อนที่คนรอบข้างจะมอง
หลายครั้งเราต้องปิดบังใจจริง และแสดงออกอย่างผักชีโรยหน้า
และยิ่งใน cyberspace สิ่งเหล่านี้
กลายเป็นสิ่งจำเป็นมากยิ่งขึ้นไปอีก
ในขณะที่ cyberspace เป็นสถานที่ ที่เราสามารถแสดงออกอย่างไรก็ได้
เพราะคนไม่รู้จักหน้าตาของเรา ไม่รู้ว่าเราเป็นใคร
แต่ก็เป็นสถานที่ ที่เราสามารถปั้นแต่งตัวเองได้อย่างมากที่สุด
ยิ่งเราใช้ตัวตนของเรา แสดงออกไปให้คนรอบข้างเห็น
มันจะถูกบันทึกไว้ตราบนานเท่าที่เรายังไม่ลบมัน หรือแม้บางครั้งอยากลบก็ทำไม่ได้
ดังนั้นผู้คนสามารถแวะเวียนเข้ามาเห็นการกระทำนั้นได้อย่างไม่จำกัดเวลา
ต่างกับในความเป็นจริงที่ หากเรากระทำอะไรลงไปบางอย่าง
มันก็จะขยายวงไปไม่กว้างไกลเท่าใน cyberspace
เพราะฉะนั้นการเลือกแสดงตัวตนของเรา การเลือกหน้ากากมาสวมจึงเป็นสิ่งสำคัญพอดู
อย่างที่เราก็ทำทุกครั้งที่เราเขียน blog
ยกตัวอย่าง เช่น
ปกติเราเป็นคนพูดจา หมาไม่แดก พูดคำ ด่าคำ
แต่ใน blog เรากลับเลือกใช้คำอย่างระมัดระวัง มีแทรกคำหยาบบ้าง เพื่อสื่ออารมณ์
ดังนั้นตัวตนใน blog กับตัวตนจริงๆของเรา จึงมีความแตกต่างกัน
สิ่งที่น่าแปลกอย่างหนึ่งคือ
คำที่เราใช้ใน blog มันกลับรุกคืบเข้ามาในชีวิตประจำวันของเรา
เดี๋ยวนี้เราชอบใช้คำว่า “เรา” มากขึ้น ในขณะที่แต่ก่อน ใช้แต่คำว่า “กู”
แสดงว่า หน้ากากใบนี้ มันเริ่มจะรวมเข้ากับหน้าจริงแล้ว
กลับมาสู่ประเด็นที่ว่า บางสิ่งบางอย่าง เราต้องเป็นคนเลือกปฏิบัติ
ว่าเราจะหาที่ยืนในสังคมของเรา ในรูปลักษณ์ไหน
เพราะรูปลักษณ์ที่เราเลือก จะส่งผลต่อปฏิสัมพันธ์และปฏิกิริยาจากคนรอบข้าง
เราอยากได้ปฏิสัมพันธ์หรือปฏิกิริยาแบบใด เราจึงต้องเลือกหน้ากากของเราอย่างระมัดระวังที่สุด
แต่ถ้าเอาจริงๆแล้ว มันก็ไม่ใช่หน้ากากอะไร
เราแค่แสดงออกถึงตัวตนของเรา โดยปิดบังบางส่วนเอาไว้ ไม่เห็นทั้งหมด
แต่ไม่ได้หมายความว่า มันไม่ใช่ตัวเรา
สิ่งที่พูดมาทั้งหมดนี้
เราต้องการจะบอกว่า
สุดท้ายแล้ว ทุกอย่างเราต้องเป็นคนเลือกเองในสังคม
แม้ว่าในใจเรานั้น เราจะมีใครบางคน เป็นแบบอย่าง
เราชื่นชมตัวตนของเขาเหล่านั้น
แต่เราก็ไม่สามารถรับเอาตัวตนของเขาเหล่านั้น เข้ามาสวมทับตัวเราได้พอดี
เพราะเราทุกคน ต่างกัน
ใบขณะที่เรียนจากภาคการออกแบบอุตสาหกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
มีอาจารย์ท่านหนึ่งบอกเราว่า
“เราควรรับฟังความคิดเห็นทุกอย่าง ทุกคน แต่ไม่จำเป็นต้องเชื่อความคิดเห็นนั้นทุกอย่าง”
“สุดท้ายแล้ว คนที่เลือกเส้นทางเดิน ก็คือตัวเรา”
ไม่ว่าเราจะคิดอย่างไร ไม่ว่าเราจะรับฟังความคิดเห็นใด
สุดท้ายแล้วคนที่เลือกกระทำ ก็คือตัวเราเอง
ดังนั้นหากเราเลือกกระทำแล้ว เราต้องยอมรับผลกระทบที่ตามมาให้ได้ทุกอย่าง โดยไม่บ่ายเบี่ยง
หมายความว่า
ต่อให้มีใครก็ตามบอกเราว่า “นี่จงทำแบบนี้สิ”
แล้วเราก็เชื่อ ทำตาม
แล้วในภายหลังมันเกิดสำเร็จ สิ่งที่เราทำ มันก็จะส่งผลดีกับเรา
ในขณะที่ใครคนนั้น ก็จะมีความดีในใจของเรา
แต่หากมันเกิดล้มเหลว เราก็ควรจะรับผลกระทบนั้น ไม่ใช่โยนความผิดไปให้ผู้แนะนำของเรา
เพราะคนที่กระทำ ก็คือตัวเราเอง
ดังนั้นเมื่อคนที่เราเคารพ เขาหวังดีมาเตือนเรา
แต่เรายังเลือกที่จะเดินทางนี้ต่อไป
นั่นหมายความว่า สำหรับเราแล้ว ในตอนนี้เราคิดว่า ทางนี้ดีแล้ว เราถึงลงมือทำ
มันหมายความว่า เราคิดถึงคำแนะนำของคนที่เราเคารพอย่างดีแล้ว
และเราเลือกที่จะเดินอีกทาง
แม้มันจะรู้สึกไม่ดีในใจ แต่เราก็เลือกที่จะทำตามความเชื่อตัวเอง
ในขณะนี้ เราจึงอยากจะขอโทษต่อคนคนนั้น ที่ไม่เลือกที่จะทำอย่างที่เขาแนะนำ
เราเชื่ออย่างหนึ่งว่า
ตัวตนที่ชัดเจนของเรา มันก็มาจากจุดยืนที่หนักแน่นของเรา
ในบางครั้งเราก็ต้องยึดจุดยืนตรงนี้ไว้ เพื่อไม่ให้ความคิดและตัวตนของเราเคลื่อนออกไป
เพื่อตอกย้ำความเชื่อ ที่ตัวเองคิดว่าถูกแล้ว ดีแล้ว
จนกว่าจะมีอะไรบางอย่างมาทำลายความเชื่อเหล่านั้นลงอย่างสิ้นเชิง
สุดท้ายนี้เราอยากจะบอกคนที่เราเคารพว่า
เรายังรัก และเคารพอยู่เสมอ
และที่เราจริงจังกับความรู้สึกผิด และการขอโทษมากขนาดนี้
เพราะเขามีความหมายต่อเรามาก
และเรายังเชื่อมั่นในความหวังดีของเขาอยู่เสมอ
เพียงแต่ครั้งนี้ เราอยากจะเลือกทางเดินของตัวเอง
ผมรักพี่ครับ
เปิดประเดิมมมมมม
ตอบลบเห้นด้วยพี่ คนเรามันต้องมีหน้ากาก
หน้ากากไม่ใช่สิ่งเลวร้ายเสมอไปหรอก :))