วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

นามธรรม day

นามธรรม day


สิ่งที่ใหญ่ที่สุด มันใหญ่สักเพียงใดนะ

ไม่รู้ว่า มหาจักรวาล กว้างใหญ่สักเพียงใด


มหาจักรวาล

จักรวาล

กาแล๊คซี่

ระบบสุริยะ

โลก

ทวีปเอเชีย

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ประเทศไทย

ภาคกลาง

กรุงเทพมหานคร

ฝั่งธน

พระรามสอง

บ้านเรา

เรา

อวัยวะ

เซลล์

โปรตีน

โมเลกุล

อะตอม

นิวเคลียส

นิวตรอน

ควาร์ก


ไม่รู้ว่า ควาร์ก เล็กสักเพียงใด

สิ่งที่เล็กที่สุด มันเล็กสักเพียงใดนะ

…..

…..

ถามไปทำไมนะ?

ถ้ารู้แล้ว ยังไงต่อ

…..

สิ่งหนึ่งใน อจินไตย


แล้วจะควรจะถามอะไร

…..


จะจากที่นี่ไปอย่างไร?” ?

วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

คำถามที่เราไม่เคยตอบได้

 คำถามที่เราไม่เคยตอบได้

นับแต่วัยหนุ่มสาวเป็นต้นมา
สมัยที่เราเริ่มอยากรู้ถึงความเป็นไป
เราทุกคนมักมีคำถามหลายๆอย่างเกิดขึ้นในใจ

คำถามเหล่านั้น
ส่วนใหญ่หาคำตอบได้ยาก
บางคำตอบต้องใช้เวลา
บางคำตอบต้องใช้ประสบการณ์
บางคำตอบต้องใช้เวลาทั้งชีวิต
บางคำตอบต้องตายก่อน ถึงจะตอบได้
หรือแม้แต่บางคำตอบ ต่อให้ตายไปแล้ว ก็ใช่ว่าจะตอบได้

ทั้งนี้เพราะประสบการณ์ ยี่สิบปีแรกของคนเรานั้น
สอนอะไรเราได้ไม่มากเท่ากับสิบปีต่อมา
และยิ่งสิบปีต่อๆไป ประสบการณ์เหล่านั้นยิ่งทวีค่ามากขึ้นเรื่อยๆ
ด้วยเหตุของกระบวนการดำเนินการสั่งสมประสบการณ์ของคนเรานั้น
แบ่งได้ สาม ระดับใหญ่ๆ


ในช่วงต้นของชีวิต ในช่วงที่เราเริ่มคิดเป็น
ในช่วงที่เราเริ่มที่จะเดินก้าวที่สำคัญทางความคิด
ในช่วงแรก เราไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่า

การตั้งคำถาม

เรายังจำได้ในช่วงที่เรายังอายุสิบเจ็ด สิบแปด
เรากับเพื่อนนั่งคุยกัน ถึงเรื่องของความหมายของชีวิต
ชีวิตคืออะไร ทำไมต้องเกิดมา เกิดมาแล้วไงต่อ ตายแล้วไปไหน ก่อนตายเอาไงดี
เรื่อยไปถึงเรื่องของฟิสิกส์ที่เราเรียนกันตอนมัธยม
คุยกันเรื่องของแสง เรื่องของเวลา การเดินทางไปอนาคต และย้อนอดีต
เรื่องของสิ่งที่เล็กที่สุด ไปถึงเรื่องของสิ่งที่ใหญ่ที่สุด

ในขณะนั้นเราไม่รู้อะไรเลย
เราก็ตั้งคำถาม และจินตนาการล้วนๆว่า มันจะเป็นเช่นนั้น มันจะเป็นเช่นนี้
บางเรื่องเราก็ไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้ แต่ก็ตอบด้วยความรู้จากหนังสือ หรือครูสอน
แล้วก็เชื่อว่า มันต้องเป็นแบบนั้น แบบนี้
โดยที่ยังเข้าใจเรื่องราวเหล่านั้น แค่เปลือกนอกสุดๆ

เราในตอนนั้นสนุกกับการพูดคุยแบบนี้
เพราะมันเหมือนได้สร้างประสบการณ์ และจินตนาการหลายอย่าง
ผ่านการพูดคุย และดึงตัวเองเข้าไปอยู่ในกระแสของสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากๆ
ทำให้เรารู้สึกเหมือนจะได้เข้าใจความหมายของโลก และจักรวาลนี้
แม้เพียงเล็กน้อย มันก็มีความสุข

เราได้แต่เฝ้าตั้งคำถาม
ถาม ถาม ถาม ถาม ใครต่อใคร ถามสิ่งใดๆ ถามชีวิตของเรา
บ้างก็ได้รับคำตอบ ที่ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ แต่ตอนนั้นก็เชื่อ
แต่ส่วนใหญ่ มักไม่ได้คำตอบใดๆ
อย่างหนึ่งก็ไม่รู้จะไปถามใคร และไม่รู้จะทำอย่างไรเพื่อให้ได้คำตอบเหล่านั้น
ก็ได้แต่เก็บมันไว้ และทำให้หลายๆสิ่งก็ลืมเลือนมันไป

หลงเหลือไว้เพียงเศษตะกอน ของคำถามที่เราเฝ้าถามตัวเองอย่างหนักหน่วง
สิ่งนั้นก็จึงจะหลงเหลือติดอยู่ในเบื้องลึกของสมองบ้าง


เมื่อเราได้เข้ามหาวิทยาลัย จนกระทั่งเรียนจบ
เราถึงเข้าใจอะไรในชีวิตมากขึ้น ผ่านกระบวนการหลายๆทาง
เราสั่งสมประสบการณ์บางอย่าง และสร้างมันขึ้นมาเป็นจุดยืน และแนวทางของตัวเอง
และเราก็พยายามยึดมั่นสิ่งนั้นไว้
เพื่อสิ่งต่อมาคือ

การบันทึก

หากเราไม่เคยตั้งคำถามใดๆมาก่อน
เราย่อมไม่มีความสงสัย ไม่แสวงหาใดๆ ไม่สนใจกับสิ่งเหล่านั้น
แต่เมื่อเกิดคำถาม
มันย่อมส่งผลให้จิตใจของเราค้นหาคำตอบ
แต่คำตอบเหล่านั้นมันไม่ได้ง่ายเหมือน หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง

มันต้องใช้ปัจจัยหลายๆอย่าง ช่วยกันหาคำตอบ
ทั้งเวลา การสังเกต การเรียนรู้ ความสนใจ และอื่นๆอีกมากมาย
ดังนั้นการมีจุดยืน บางทีก็สำคัญ
เพราะการที่เราจะมองโลกอย่างเลื่อนลอย ไร้แก่นสาร
จะไม่ช่วยให้เราได้คำตอบ เพราะเราก็จะมองมันผ่านๆ ไร้การเรียนรู้
แต่เรามีจุดยืนของตัวเอง ที่เราสร้างขึ้นมา
เราจึงจะสามารถตั้งใจมองมัน ศึกษา และไม่ถูกกระแสพัดไปโดยง่าย

เช่น การที่เราจะมอง ศึกษา และตีความอะไรบางอย่าง
มุมมองที่ดีที่สุด คือ เราต้องอยู่เหนือ หรืออยู่ข้างนอกสิ่งนั้น
ถ้าหากเรายังหลง อยู่ในวังวนของสิ่งนั้น
เราย่อมถูกอคติ ถูกอารมณ์ ถูกกระแส บดบัง และพัดพา จนไม่อาจมองเห็นความจริง
สิ่งหนึ่งเราต้องเอาตัวเราออกจากสิ่งนั้นก่อน เพื่อดูภาพรวมของมัน
เมื่อเราพอเข้าใจแล้ว เราจึงสามารถเข้าไปศึกษาสิ่งนั้นอย่างใกล้ชิด ก็ไม่สาย

คล้ายกับเรื่องของ มิติ
การที่มดมีขนาดเล็ก คล้ายกับมันอาศัยในโลกของสองมิติ เมื่อสังเกตจากมุมมองของเรา
หากมีกล่องลูกบาศก์หนึ่งกล่องตั้งอยู่
มีมดสองตัวเดินเข้าหากัน จากคนละด้านของกล่อง
เราย่อมบอกได้ว่า อีกไม่นานมดทั้งสองจะได้เจอกัน

ถ้าเราพูดภาษามดได้ เราบอกมัน และเมื่อมันพบมดอีกตัว
มันก็คงจะตื่นตระหนก ตกใจว่า มึงรู้ได้ไง หรือว่า มึงเป็นพระเจ้า!

เราอาศัยอยู่ในโลกสามมิติ เราย่อมไม่เข้าใจโลกในมิติที่มากกว่า เพราะมุมมองของเรามีเพียงเท่านี้
หากเราต้องการจะเข้าใจ เราต้องเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในมิติที่สูงกว่าให้ได้เสียก่อน

วิธีเหล่านั้น อาจมีอยู่ แต่เรายังไม่เคยลอง ยังไม่เคยรู้ เราจึงยังไม่เข้าใจ
แต่มีคนที่เคยลอง เคยทำแล้ว และสามารถตอบคำถามส่วนหนึ่งได้
แต่เราไม่รู้ว่าจริงไหม เพราะไม่เคยลองทำด้วยตัวเอง

เมื่อเราได้เรียนรู้สิ่งเหล่านั้น เพื่อค้นหาคำตอบของเรา
เราจึงได้สั่งสมประสบการณ์ และบันทึกสิ่งเหล่านั้นลงไปในจิตใจ ลงในความทรงจำ
สร้าง สั่งสม แนวคิด และแนวทางของเราไปสู่ทางต่างๆ


จนในวันหนึ่ง
เมื่อสิ่งเหล่านั้นเต็มอิ่ม
เมื่อสิ่งเหล่านั้นชัดเจน
เมื่อสิ่งเหล่านั้นผลิดอก ออกผล
เมื่อสิ่งเหล่านั้นสร้างให้เราเป็นเรา
เมื่อเราไม่ต้องการจะรับรู้สิ่งใหม่
และตั้งใจว่า เราจะไม่เดินออกไปนอกเส้นทางนี้อีก เราจะเดินทางนี้ไปจนวันสิ้นลม

วันนั้นทุกอย่างที่เราบันทึกมาตลอด
ก็คงเริ่มที่จะ

ตกตะกอน

ก่อร่างกลายเป็นก้อนความเชื่ออันหนักแน่น
เป็นเส้นทางที่ชัดเจนที่สุด กลายเป็นตัวเรามากที่สุด

และในวันหนึ่งหลังจากนั้น
อาจเป็นวันที่เรากำลังฝึกตนอยู่บนเขาที่ไหนสักแห่ง
อาจเป็นวันที่เรากำลังนั่งสมาธิ อยู่ที่ใดสักที่
อาจเป็นวันที่เรากำลังนั่งวาดรูปอยู่
อาจเป็นวันที่เรานั่งเฉยๆ มองฟ้า มองทะเล
อาจเป็นวันที่เรากำลังเล่น xbox
อาจเป็นวันที่เรากำลังมี sex อยู่บนหลังคาบ้าน

คำถามที่เราเฝ้าถามเมื่อครั้งยังเยาว์

วันหนึ่งวันนั้น เราก็อาจจะได้คำตอบ

วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ทางวงกตแห่งจิตใจ

ทางวงกตแห่งจิตใจ

อยู่มาวันหนึ่ง
เราก็ลังเลในทางเดินของเรา

ทั้งๆที่ก่อนจะเดินก็คุยกับตัวเองดีแล้ว
เชื่อมั่นแล้วว่า ทางที่เลือกมันถูก

แต่พอทำมันลงไป
กลับหวั่นไหว และลังเลว่า นี่ตกลง กูทำถูกแล้วเหรอเนี่ย!
มันเหมือนจุดยืนที่เราคิดว่าเราเป็นนั้น
มันโยกเยก จะล้มมิล้มแหล่


ปกติไม่เคยเป็นแบบนี้เลย
เพราะว่า เราแทบไม่เคยจะสนอะไร
ถ้าทำแล้ว ก็ทำ แล้วจะมั่นใจกับสิ่งที่ทำ
เพราะถ้าสิ่งไหนไม่มั่นใจ ก็จะเผื่อใจไว้เสมอ

อาการขาดเสถียรภาพนี้ วนเวียนอยู่ในหัวอยู่เกือบสองวัน
เราพยายามค้นหาต้นเหตุของความรู้สึกวุ่นวายใจนี้
แต่ก็หาไม่เจอ

เราวุ่นวายจิตใจอย่างมาก
จนรู้สึกสับสนอย่างรุนแรง

จนในที่สุดเราก็ได้คุยกับเพื่อนเรา
เราได้สื่อสารกับเพื่อนเรา ที่พยายามจะช่วยค้นหาสาเหตุนั้นๆ

ยิ่งคุยกันมากเท่าไหร่ เรายิ่งลงไปสู่ใจเรามากเท่านั้น
เพื่อนเราช่วยเราลอกเปลือกนอกของเราออก
(โอ๊ะ! ประโยคนี้ส่อ โปรดอย่าคิดลึก)
ค่อยๆลอกส่วนที่เป็นอคติ
ลอกส่วนที่เป็นความห่วงในภาพลักษณ์
ลอกส่วนที่เป็นความยึดมั่นในตัวเอง
เพื่อให้เราได้ค่อยๆศึกษาใจตัวเองอีกครั้ง

แล้วเราก็ค่อยๆมองดูในจิตใจของเราทีละส่วนๆ
ทีละความคิด
ทีละขั้นตอน
ทีละมุมมอง
เราถึงค่อยๆเข้าใจตัวเราเองอีกครั้ง
เราถึงรู้ว่า สิ่งที่เราเลือกทำไปนั้น
มันไม่ได้มีอะไรผิดเลย
เราถึงรู้ว่า จุดยืนที่เราเชื่อมั่น และเราคิดว่ามันสั่นคลอน
ที่จริงมันก็ยังอยู่ที่เดิม
เพียงแต่เราถูกบดบังด้วยอะไรบางอย่าง
เราจึงคิดว่ามันหายไป

หลังจากเราได้ทบทวนตัวเองไปพร้อมๆกับเพื่อนเรา
เราถึงได้เข้าใจว่า สิ่งที่ทำให้เราหวั่นไหว
มันเป็นเพียงพลังภายนอก ความคาดหวังของคนอื่น
ความคิดของคนอื่นที่ตัดสินตัวเรา และเป็นเพียงอีโก้ของเราที่บดบังมันไว้

เมื่อเราลอกเปลือกนอกสิ่งเหล่านี้ออก
เราถึงได้เข้าใจตัวเองอย่างแท้จริง
และเมฆสีหม่นที่บดบังอยู่
มันก็จางหายไป กลายเป็นฟ้าอันสดใสอีกครั้ง

เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เราได้คิดอีกหลายอย่าง
อย่างแรกคือ อคติ และความยึดมั่นในสิ่งใดๆ
จะบดบังความคิด และความตั้งใจของเรา
ทั้งการหลงผิดในความเชื่อบางอย่าง ความเชื่ออันเปี่ยมด้วยอคติ
ส่งผลให้เกิดความหวั่นไหว ลังเล ในสิ่งที่ตัวเองเชื่อมั่น
ทำให้การกระของเรานั้นขาดความหนักแน่นต่อเนื่องกัน
ซึ่งในกรณีของเรานั้นยังคงเป็นทางโลก

แต่ในทางธรรมก็เป็นเช่นนี้ด้วย
เมื่อกิเลศและความหลงผิดจะพอกเกาะกุมดวงจิตของเรา
การจะค้นพบแสงสว่างภายใน
เราต้องกะเทาะ ปอกเปลือกสิ่งเหล่านั้นออกเสียก่อน

เมื่อผิวดวงจิต ปราศจากกิเลศเท่านั้น
ดวงจิตก็จะสว่างสดใส โดยธรรมชาติของดวงจิตนั้นเอง



อีกอย่างคือ การสื่อสารกับคนอื่น กลับช่วยให้เราสื่อสารกับตัวเองได้ลึกขึ้น
คนที่เราสื่อสารด้วย ก็ควรเป็นคนที่เหมาะสม มิใช่ใครก็ได้

คำพูด และคำถามที่ถูกตั้งโดยคนอื่น
อาจทำให้เราได้มองตัวเองในมุมมองที่เราไม่เคยมอง
หรือไม่กล้ามองมาก่อน

เราอาจจะกลัวด้านบางด้านของตัวเอง
เราอาจจะไม่อยากยอมรับบางส่วนของตัวเอง
เราอาจจะไม่อยากยอมรับว่าเรามีความคิด ที่เราไม่อยากคิด
แต่ด้วยคำถามตรงๆที่สามารถทะลุไปสู่จิตใจของเรา
มันทำให้เราค้นพบ และยอมรับสิ่งเหล่านั้นได้ง่ายขึ้น

ถ้อยคำแต่ละถ้อยคำ
เหตุผลแต่ละเหตุผล
ทำให้เราเข้าใจตัวเอง และเราก็เติบโต


เราถึงได้รู้ตัวว่า จริงๆตัวเราเองก็ไม่ได้เข้มแข็งพอที่จะอยู่คนเดียว
เราก็ยังคงต้องการคำปรึกษาจากใครบางคน
ต้องการคำปลอบใจ และกำลังใจจากคนรอบข้าง

พลังใจที่เคยมี มันสามารถหมดลงได้ บางทีเราก็ต้องรับมาจากคนที่อยู่รอบๆเรา
พลังใจเหล่านั้น จะถูกส่งผ่านมาทางการกระทำ ผ่านเสียง จนมันแทรกเข้าไปห่อหุ้มจิตใจ
เราถึงเข้าใจว่า คำพูด เมื่อพูดจากใจ กับคำพูดที่ลอยไปตามลม มันต่างกันอย่างเทียบไม่ได้
อีกทั้งคำพูดอย่างจริงใจนั้น บางครั้งก็ต้องเลือกเวลาและจังหวะในการพูด
เพราะจิตใจของผู้รับ บางครั้งก็ต้องการการเยียวยาไม่เหมือนกัน
บางคนต้องลูบ ปลอบเบาๆ
บางคนต้องพูดกระแทกให้คิด
บางคนต้องพูดประชด ให้ขึ้น
บางคนต้องพูดด้วยเหตุผล ค่อยๆเจาะลงไปที่จิตใจของเขา
พลังใจของเรา จึงสามารถไหลรินลงไปเติมในจิตใจของเขาได้


ครั้งนี้ทำให้เรารู้ว่า
พลังใจมีผลต่อชีวิตเราแค่ไหน
เมื่อเราเชื่อมั่นในทางที่เราเดิน ว่าทางนั้นมันถูกแล้ว ดีแล้ว
แต่ละก้าวของเราก็จะมั่นคง ไม่ซวนเซ

แต่หากพลังใจ และความเชื่อมั่นสั่นคลอน
เราก็จะก้าวไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ
และมันจะเป็นสิ่งที่ทำลายจุดยืนของเราไปทีละเล็กละน้อย

แต่ในที่สุด จงอย่ากลัวที่จะได้ค้นหาตัวเอง
อย่ากลัวด้านมืดตัวเอง ให้มองมันอย่างเข้าใจ และยอมรับมัน
และถ้าคุณยังหาตัวเองไม่พบ

อย่าตื่นตระหนก
เราเชื่อว่า คนรอบข้างคุณ พร้อมจะช่วยคุณเสมอ

และท้ายที่สุดคือ
ไม่ว่าจะมีแรงภายนอกมามากเพียงใด
ภายในจิตใจเรา เราต้องเป็นคนจัดการมันด้วยตัวเอง
เพราะไม่มีใครเข้าใจความเป็นตัวเรา เท่าตัวเราอีกแล้ว

วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

หากเธอเป็นพระจันทร์แน่นอน ฉันต้องเป็นดาว

หากเธอเป็นพระจันทร์แน่นอน ฉันต้องเป็นดาว

เทศกาลวาเลนไทน์เวียนมาอีกครั้ง ก็ต้องเขียนถึงกันหน่อย

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันสำคัญของสังคมเลยก็ว่าได้
ต่อให้หลายๆคนจะไม่ให้ความสำคัญ
แต่สังคมต้องให้ความสำคัญแน่นอน

เหตุผลอย่างหนึ่งคือ มัน ขายได้!

ต้นกำเนิดของวันวาเลนไทน์ หลายๆคนก็คงจะเคยได้อ่านกันบ้างแล้ว
หรือถ้าไม่เคย ก็จง google ซะเดี๋ยวนี้
เราให้เวลาคุณแวะไปอ่านแล้วค่อยกลับมาอ่านต่อกัน



โอเค กลับมาที่ blog นี้กัน
เรื่องราวก็ของ St. Valentine จะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่
แต่ทุกวันนี้วันวาเลนไทน์กลายเป็นวันที่สังคม และโลกต่างใส่ความหมายลงไป
ด้วยจุดประสงค์ต่างๆกัน
บางทีก็ต้องการขาย บางทีก็ต้องการสร้างโอกาส หรือสร้างอะไรบางอย่าง
ซึ่งเมื่อยิ่งลงลึกลงไปในปัจเจกบุคคล
ทุกคนต่างมีความหมายของวันวาเลนไทน์ในมุมของตัวเอง
ซึ่งก็หลากหลายตามสถานะของบุคคล

ลองพูดถึงความหมายในสเกลใหญ่
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นตัวแทนของความรักอันสากล
วันที่ทุกคนอยากจะแสดงความรักต่อกันและกัน
เพราะเป็นโอกาส พิเศษที่เวลาทำอะไรเวอร์ๆ ก็ดูไม่เสร่อ
ดอกไม้ เป็นสิ่งที่ให้กันเพื่อแทนความรู้สึก แทนความรัก

ดังนั้นหนึ่งวันที่ดอกไม้มีคุณค่ามากกว่าวันอื่นๆ
จึงเป็นวันที่ดอกไม้มีมูลค่ามากกว่าวันอื่นๆเช่นกัน

วันนี้เป็นวันหนึ่งที่การแสดงออกทางความรักจะถูกให้ความสำคัญมากกว่าเดิม
การกระทำ การแสดงออกถูกยกระดับให้ เยอะขึ้น และระดับการยอมรับก็เยอะขึ้น
ทำให้ผลลัพธ์มันก็เยอะขึ้นตามลำดับ

สรุปว่า วันนี้เป็นวันที่

อะไรๆ ก็เยอะ ไปหมด


กลับมาที่เรื่องใกล้ตัวดีกว่า
เรื่องแรกที่ค้นพบคือ

โลกนี้เป็นโลกที่คนโสดมีมากกว่าคนมีคู่
คนผิดหวังมีมากกว่าคนสมหวัง
ตามสถิติแสดงให้เห็นว่า มีคนจำนวนน้อยกว่าที่จะมีอารมณ์ร่วมกับวันนี้
หรือแม้แต่พวกมีคู่แล้ว หลายคนก็ไม่ได้ใส่ใจจะให้ความสำคัญกับโอกาสนี้เหมือนกัน

แต่เหตุที่วันนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด
เพราะชีวิตของคนส่วนใหญ่เดินไปด้วย ความหวังมากกว่าความผิดหวัง
แม้จะไม่มีความรัก แม้จะเข็ดกับความรัก
แต่คนเราก็ต้องการความรัก และเห็นความรักเป็นสิ่งดี
วันธรรมดาหนึ่งวัน จึงกลายเป็น วันพิเศษ


ด้วยคำว่า

โอกาสพิเศษ
เทศกาล

หรืออะไรก็ตามแต่

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ จึงกลายเป็นวันที่เต็มไปด้วย สัญญะ

ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ที่ให้กัน
ไม่ว่าจะเป็นการกระทำที่มีต่อกัน
ไม่ว่าจะเป็นคำพูดที่ให้กัน
ไม่ว่าจะเป็นช๊อกโกแลต หรือของของอื่นๆที่มอบให้กัน
และอื่นๆอีกมากมาย

ทั้งหมดนี้แทนคำหนึ่งคำที่เรียกว่า ความรัก

เราเคยพูดถึงความรักในหลายระดับแล้วครั้งหนึ่ง
สัญญะ เหล่านั้นก็มีระดับของมันที่แสดงออกถึง ความรัก เช่นกัน

ของแต่ละสิ่งให้กับคนที่ต่างสถานะกัน
บางทีเราให้เพราะเรารักในเพื่อน
เราให้เพราะเรารักในพี่น้อง
เราให้เพราะเรารักในครู อาจารย์
แต่น้อยนักที่เราจะให้พ่อแม่ในวันนี้

แต่ในความหมายของโลก
วันนี้ก็ถือว่าเป็นหนึ่งวันที่ แฟน สำคัญกว่าพ่อแม่นะ
ดังนั้นก็ไม่ต้องรู้สึกผิดกันให้มากหรอกนะ



ประเด็นสุดท้ายที่อยากจะบอก
คือ เราชอบเทศกาลนี้นะ
แม้ว่าเราจะไม่ได้ตามเทศกาล ไม่ได้ทำไรให้สมกับเป็นเทศกาล
แต่เราชอบบรรยากาศของเทศกาล
ที่คนหลายๆคนต่างตื่นเต้น สรรหาอะไรมาทำ เพื่อให้โลกและชีวิตมีสีสัน
เราคิดว่า โลกนี้มีเรื่องเศร้ากันเยอะแล้ว เราใช้ชีวิตด้วยการต่อสู้กับปัญหา
ดังนั้นไม่ว่าความหมายที่แท้จริงของวันนี้จะโหดร้าย จะเศร้าสักเพียงใด
โลกก็ไม่จำเป็นต้องเศร้าตาม
เพราะเราใช้ชีวิตอยู่ห่างไกลจากช่วงเวลานั้นเป็นพันปี
แถมเราก็ไม่ได้เคยได้รู้จัก St. Valentine เป็นการส่วนตัว
ก็ไม่รู้จะมีอารมณ์ร่วมไว้อาลัยไปทำไม

การตีความโลกให้เข้าข้างตัวเองก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งเหมือนกันนะ
เพราะจะทำให้เรามีความสุขได้ในปัจจุบัน
แม้มันจะเป็นความสุขภายนอก แม้มันจะเป็นความสุขชั่วคราว
แต่สำหรับบางคน ก็มีความสำคัญสำหรับเขาอยู่มาก

ถ้าเช่นนั้นเราก็จงมอบความรักให้กันในวันนี้ก็เป็นสิ่งที่ถูกแล้ว
เพราะถ้าทำในวันอื่นๆ มันก็จะดูเสร่อ และเวอร์เล็กน้อย

อีกอย่างหนึ่งที่เราคิดคือ
เพราะเราทำสิ่งพิเศษ ในโอกาสพิเศษ ให้กับคนพิเศษ
มันถึงจะพิเศษ!
ถ้าเราทำสิ่งพิเศษทุกวัน วันหนึ่งมันก็จะไม่พิเศษอีกต่อไป


ขอเล่าอะไรอย่างหนึ่งก่อนปิด blog
เมื่อวานวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2554
เราไปงานคอนเสิร์ตที่ มิวเซียม สยาม
มีผู้ชายคนหนึ่งเขาขอวงอาร์มแชร์ ให้เขาได้ขึ้นเวทีไปขอแฟนเขาแต่งงาน
ต่อหน้าคนจำนวนมาก
เราก็ชอบนะ ที่คนเรากล้าทำอะไรแบบนี้
มันเป็นการให้ความสำคัญกับช่วงเวลา และประสบการณ์หนึ่งๆที่สำคัญต่อชีวิตของเขา
มันแสดงถึงการให้ความสำคัญกับความรู้สึก ความพิเศษ และความรักที่ต่อคู่ชีวิต
ซึ่งเราคิดว่ามันเป็นสิ่งสวยงามอย่างมากเลยนะ

ตามเทศกาล
เราจึงอยากบอกจะทำอะไรให้พิเศษสักหน่อย
เรามอบดอกไม้ให้หนึ่งดอกแล้วกันนะ



ปล. ชื่อ blog มาจาก เพลง เธอคือของขวัญ ของ สิงโต นำโชค
ซึ่งไม่เกี่ยวไรเลย นอกจากเราชอบ