คำถามที่เราไม่เคยตอบได้
นับแต่วัยหนุ่มสาวเป็นต้นมา
สมัยที่เราเริ่มอยากรู้ถึงความเป็นไป
เราทุกคนมักมีคำถามหลายๆอย่างเกิดขึ้นในใจ
คำถามเหล่านั้น
ส่วนใหญ่หาคำตอบได้ยาก
บางคำตอบต้องใช้เวลา
บางคำตอบต้องใช้ประสบการณ์
บางคำตอบต้องใช้เวลาทั้งชีวิต
บางคำตอบต้องตายก่อน ถึงจะตอบได้
หรือแม้แต่บางคำตอบ ต่อให้ตายไปแล้ว ก็ใช่ว่าจะตอบได้
ทั้งนี้เพราะประสบการณ์ ยี่สิบปีแรกของคนเรานั้น
สอนอะไรเราได้ไม่มากเท่ากับสิบปีต่อมา
และยิ่งสิบปีต่อๆไป ประสบการณ์เหล่านั้นยิ่งทวีค่ามากขึ้นเรื่อยๆ
ด้วยเหตุของกระบวนการดำเนินการสั่งสมประสบการณ์ของคนเรานั้น
แบ่งได้ สาม ระดับใหญ่ๆ
ในช่วงต้นของชีวิต ในช่วงที่เราเริ่มคิดเป็น
ในช่วงที่เราเริ่มที่จะเดินก้าวที่สำคัญทางความคิด
ในช่วงแรก เราไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่า
“การตั้งคำถาม”
เรายังจำได้ในช่วงที่เรายังอายุสิบเจ็ด สิบแปด
เรากับเพื่อนนั่งคุยกัน ถึงเรื่องของความหมายของชีวิต
ชีวิตคืออะไร ทำไมต้องเกิดมา เกิดมาแล้วไงต่อ ตายแล้วไปไหน ก่อนตายเอาไงดี
เรื่อยไปถึงเรื่องของฟิสิกส์ที่เราเรียนกันตอนมัธยม
คุยกันเรื่องของแสง เรื่องของเวลา การเดินทางไปอนาคต และย้อนอดีต
เรื่องของสิ่งที่เล็กที่สุด ไปถึงเรื่องของสิ่งที่ใหญ่ที่สุด
ในขณะนั้นเราไม่รู้อะไรเลย
เราก็ตั้งคำถาม และจินตนาการล้วนๆว่า มันจะเป็นเช่นนั้น มันจะเป็นเช่นนี้
บางเรื่องเราก็ไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้ แต่ก็ตอบด้วยความรู้จากหนังสือ หรือครูสอน
แล้วก็เชื่อว่า มันต้องเป็นแบบนั้น แบบนี้
โดยที่ยังเข้าใจเรื่องราวเหล่านั้น แค่เปลือกนอกสุดๆ
เราในตอนนั้นสนุกกับการพูดคุยแบบนี้
เพราะมันเหมือนได้สร้างประสบการณ์ และจินตนาการหลายอย่าง
ผ่านการพูดคุย และดึงตัวเองเข้าไปอยู่ในกระแสของสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากๆ
ทำให้เรารู้สึกเหมือนจะได้เข้าใจความหมายของโลก และจักรวาลนี้
แม้เพียงเล็กน้อย มันก็มีความสุข
เราได้แต่เฝ้าตั้งคำถาม
ถาม ถาม ถาม ถาม ใครต่อใคร ถามสิ่งใดๆ ถามชีวิตของเรา
บ้างก็ได้รับคำตอบ ที่ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ แต่ตอนนั้นก็เชื่อ
แต่ส่วนใหญ่ มักไม่ได้คำตอบใดๆ
อย่างหนึ่งก็ไม่รู้จะไปถามใคร และไม่รู้จะทำอย่างไรเพื่อให้ได้คำตอบเหล่านั้น
ก็ได้แต่เก็บมันไว้ และทำให้หลายๆสิ่งก็ลืมเลือนมันไป
หลงเหลือไว้เพียงเศษตะกอน ของคำถามที่เราเฝ้าถามตัวเองอย่างหนักหน่วง
สิ่งนั้นก็จึงจะหลงเหลือติดอยู่ในเบื้องลึกของสมองบ้าง
เมื่อเราได้เข้ามหาวิทยาลัย จนกระทั่งเรียนจบ
เราถึงเข้าใจอะไรในชีวิตมากขึ้น ผ่านกระบวนการหลายๆทาง
เราสั่งสมประสบการณ์บางอย่าง และสร้างมันขึ้นมาเป็นจุดยืน และแนวทางของตัวเอง
และเราก็พยายามยึดมั่นสิ่งนั้นไว้
เพื่อสิ่งต่อมาคือ
“การบันทึก”
หากเราไม่เคยตั้งคำถามใดๆมาก่อน
เราย่อมไม่มีความสงสัย ไม่แสวงหาใดๆ ไม่สนใจกับสิ่งเหล่านั้น
แต่เมื่อเกิดคำถาม
มันย่อมส่งผลให้จิตใจของเราค้นหาคำตอบ
แต่คำตอบเหล่านั้นมันไม่ได้ง่ายเหมือน หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง
มันต้องใช้ปัจจัยหลายๆอย่าง ช่วยกันหาคำตอบ
ทั้งเวลา การสังเกต การเรียนรู้ ความสนใจ และอื่นๆอีกมากมาย
ดังนั้นการมีจุดยืน บางทีก็สำคัญ
เพราะการที่เราจะมองโลกอย่างเลื่อนลอย ไร้แก่นสาร
จะไม่ช่วยให้เราได้คำตอบ เพราะเราก็จะมองมันผ่านๆ ไร้การเรียนรู้
แต่เรามีจุดยืนของตัวเอง ที่เราสร้างขึ้นมา
เราจึงจะสามารถตั้งใจมองมัน ศึกษา และไม่ถูกกระแสพัดไปโดยง่าย
เช่น การที่เราจะมอง ศึกษา และตีความอะไรบางอย่าง
มุมมองที่ดีที่สุด คือ เราต้องอยู่เหนือ หรืออยู่ข้างนอกสิ่งนั้น
ถ้าหากเรายังหลง อยู่ในวังวนของสิ่งนั้น
เราย่อมถูกอคติ ถูกอารมณ์ ถูกกระแส บดบัง และพัดพา จนไม่อาจมองเห็นความจริง
สิ่งหนึ่งเราต้องเอาตัวเราออกจากสิ่งนั้นก่อน เพื่อดูภาพรวมของมัน
เมื่อเราพอเข้าใจแล้ว เราจึงสามารถเข้าไปศึกษาสิ่งนั้นอย่างใกล้ชิด ก็ไม่สาย
คล้ายกับเรื่องของ มิติ
การที่มดมีขนาดเล็ก คล้ายกับมันอาศัยในโลกของสองมิติ เมื่อสังเกตจากมุมมองของเรา
หากมีกล่องลูกบาศก์หนึ่งกล่องตั้งอยู่
มีมดสองตัวเดินเข้าหากัน จากคนละด้านของกล่อง
เราย่อมบอกได้ว่า อีกไม่นานมดทั้งสองจะได้เจอกัน
ถ้าเราพูดภาษามดได้ เราบอกมัน และเมื่อมันพบมดอีกตัว
มันก็คงจะตื่นตระหนก ตกใจว่า มึงรู้ได้ไง หรือว่า มึงเป็นพระเจ้า!
เราอาศัยอยู่ในโลกสามมิติ เราย่อมไม่เข้าใจโลกในมิติที่มากกว่า เพราะมุมมองของเรามีเพียงเท่านี้
หากเราต้องการจะเข้าใจ เราต้องเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในมิติที่สูงกว่าให้ได้เสียก่อน
วิธีเหล่านั้น อาจมีอยู่ แต่เรายังไม่เคยลอง ยังไม่เคยรู้ เราจึงยังไม่เข้าใจ
แต่มีคนที่เคยลอง เคยทำแล้ว และสามารถตอบคำถามส่วนหนึ่งได้
แต่เราไม่รู้ว่าจริงไหม เพราะไม่เคยลองทำด้วยตัวเอง
เมื่อเราได้เรียนรู้สิ่งเหล่านั้น เพื่อค้นหาคำตอบของเรา
เราจึงได้สั่งสมประสบการณ์ และบันทึกสิ่งเหล่านั้นลงไปในจิตใจ ลงในความทรงจำ
สร้าง สั่งสม แนวคิด และแนวทางของเราไปสู่ทางต่างๆ
จนในวันหนึ่ง
เมื่อสิ่งเหล่านั้นเต็มอิ่ม
เมื่อสิ่งเหล่านั้นชัดเจน
เมื่อสิ่งเหล่านั้นผลิดอก ออกผล
เมื่อสิ่งเหล่านั้นสร้างให้เราเป็นเรา
เมื่อเราไม่ต้องการจะรับรู้สิ่งใหม่
และตั้งใจว่า เราจะไม่เดินออกไปนอกเส้นทางนี้อีก เราจะเดินทางนี้ไปจนวันสิ้นลม
วันนั้นทุกอย่างที่เราบันทึกมาตลอด
ก็คงเริ่มที่จะ
“ตกตะกอน”
ก่อร่างกลายเป็นก้อนความเชื่ออันหนักแน่น
เป็นเส้นทางที่ชัดเจนที่สุด กลายเป็นตัวเรามากที่สุด
และในวันหนึ่งหลังจากนั้น
อาจเป็นวันที่เรากำลังฝึกตนอยู่บนเขาที่ไหนสักแห่ง
อาจเป็นวันที่เรากำลังนั่งสมาธิ อยู่ที่ใดสักที่
อาจเป็นวันที่เรากำลังนั่งวาดรูปอยู่
อาจเป็นวันที่เรานั่งเฉยๆ มองฟ้า มองทะเล
อาจเป็นวันที่เรากำลังเล่น xbox
อาจเป็นวันที่เรากำลังมี sex อยู่บนหลังคาบ้าน
คำถามที่เราเฝ้าถามเมื่อครั้งยังเยาว์
วันหนึ่งวันนั้น เราก็อาจจะได้คำตอบ…