วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เมื่อเรายื่นขาเราออกไปในความมืดอันเจิดจ้า


เมื่อเรายื่นขาเราออกไปในความมืดอันเจิดจ้า

ความเวิ้งว้าง ที่อัดแน่นไปด้วยสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน

ห้วงสมุทรแห่งความรู้กว้างใหญ่ไพศาล มีเราลอยเท้งเต้งอยู่กลางคลื่นลม

ยิ่งจุดเทียนส่องเข้าไปในความมืดมากเท่าไหร่
ยิ่งสัมผัสได้ถึงที่ว่างอันกว้างใหญ่ที่แสงยังเข้าไปไม่ถึงมากเท่านั้น

เมื่อก้าวเข้าไปในห้องที่เราไม่เคยย่างเข้าไปมาก่อน
ก็ถูกความกลัวแห่งความไม่รู่ถาโถมเข้ามา จนเซถลา

เราค่อยๆคลำหาเชือกจำนวนมหาศาลที่กองอยู่บนพื้น
ควานหาปลายของเชือก ก็ไม่อาจพบ
ได้แต่จับมันผูกโยงไปมา หาจุดสัมผัสอย่างค่อยเป็นค่อยไป

เมื่อเราได้พบกับตัวต่อตัวใหม่ เราก็ค่อยๆสะสมมัน
จับมันมาวางเรียงกับชุดตัวต่อชุดเก่า ที่ยังต่อไปไม่ถึงไหน
เราก็ได้แต่กวาดตามองหาจุดลงตัวของชุดตัวต่อเหล่านั้นไปเรื่อยๆ

เรารู้สึกหวั่นใจกับโลกใบใหม่ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า
เพราะทุกอย่างเป็นสิ่งไม่คุ้นเคย เราไม่อาจเข้าใจมันได้ในทันที
ไม่อาจทำความเข้าใจด้วยเหตุผลที่เคยชิน

เส้นทางเส้นใหม่นี้นอกจากจะไกลสุดลูกหูลูกตา
ยังแตกแขนงออกไป จนไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหนดี
มีแต่ความไม่มั่นใจก่อตัวขึ้นจนเต็ม

แต่เมื่อเราลองสงบสติ และคุยกับตัวเองแล้ว
นอกจากความรู้สึกไม่มั่นคงที่เราก้าวออกจากวงกลมแห่งความปลอดภัย
สิ่งที่คุ้นเคยในชีวิต
ยังมีความรู้สึกตื่นเต้น อยากรู้อยากเห็น และสนุกสนาน
เมื่อได้เจอกับสิ่งใหม่ เกิดขึ้นมาพร้อมกันภายในจิต

และนี่คือ ความรู้สึก ณ ตอนนี้
เมื่อก้าวเข้าไปในโลกศิลปะ 

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ทุกวันนี้ ทุกวันพรุ่งนี้


ทุกวันนี้ ทุกวันพรุ่งนี้

"ทุกวันนี้การเดินทางของเราเร็วอย่างมาก"
"เราสามารถนั่งรถไฟเดินทางไปเชียงใหม่โดยใช้เวลาเพียงแค่สิบสองชั่วโมง"

"ทุกวันนี้เราสามารถติดต่อกันได้ง่ายขึ้น"
"เราสามารถคุยกันได้ แม้จะอยู่ห่างไกลกัน เพียงแค่หมุนโทรศัพท์"

"ทุกวันนี้ข่าวสารถูกเผยแพร่อย่างรวดเร็วฉับไว"
"เราสามารถนั่งอยู่ที่บ้าน เปิดโทรทัศน์ ก็สามารถรับรู้ข่าวสารในประเทศได้อย่างง่ายดาย"

"ทุกวันนี้การคมนาคมในบ้านเราดีขึ้นมาก"
"เราสามารถนั่งรถเมล์ ไปได้ทั่วทุกมุมเมืองของเมืองกรุง"

"ทุกวันนี้เราไม่ต้องทนร้อนอีกต่อไป"
"เราสามารถเปิดพัดลม จ่อหน้า เย็นสบายไปทั้งวัน"

"ทุกวันนี้การบันทึกความทรงจำเป็นเรื่องง่าย"
"เราสามารถชักภาพทีเดียว ก็สามารถเก็บช่วงเวลานั้นไว้ได้ตลอด"

"ทุกวันนี้กลางคืนก็มีชีวิตได้อย่างกลางวัน"
"เราสามารถมีหลอดไฟที่ให้แสงสว่างตลอดทั้งคืน"

"ทุกวันนี้เราติดต่อกับคนที่อยู่ห่างไกลได้รวดเร็ว ไม่ต้องนั่งรอจดหมาย"
"เราสามารถส่งโทรเลขไป เพียงไม่นานก็ถึงมือผู้รับ"

"ทุกวันนี้ภาพยนตร์ช่างตื่นตาตื่นใจ"
"เราสามารถดูภาพยนตร์ แล้วแทบจะแยกไม่ออกว่านี่คือของจริง หรือของทำขึ้น"

"โลกสมัยใหม่นี้ ช่างสะดวกสบาย พัฒนาจากสมัยก่อนมากเหลือเกิน"




- เครื่องบิน

- smart phone

- internet

- BTS,MRT

- A/C

- Handycam

- LED

- Social Network

- 4D Cinema

"โลกสมัยนี้ช่างลำบากยากเย็นเหลือเกิน ปัญหาก็มาก สังคมแย่ลง"

วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2554

"ขอใครสักคนมาช่วยฉันที"


"ขอใครสักคนมาช่วยฉันที"

วันนี้ผมร้องไห้อีกแล้วผมเบื่อชีวิตเดิมๆ
นั่งทำงานเดิมๆ ซ้ำไป ซ้ำมาผมเกลียดชีวิตที่ต้องเหนื่อย หลังขดหลังแข็ง โดยไม่เห็นจุดหมายปลายทาง
ความรู้สึกและแรงบันดาลใจเมื่อตอนที่เริ่มทำงานนี้หายไปหมด
แม้ว่าจะยังเหลือกองไฟริบหรี่ ที่กระพริบเบาๆอยู่ภายใน
แต่มันก็ไม่เพียงพอ จะผลักดันให้ร่างกายอยากจะขยับเขยื้อน

คนรอบข้างผม ไม่เคยมีใครเข้าใจผม
คำพูดปลอบใจของเพื่อนๆ มันก็แค่คำพูดที่ผ่านเลยไปไม่ว่าจะเป็นคำพูดแบบไหน
จะปลอบใจ จะแนะนำ จะผลักดัน
ก็ไม่สามารถฉุดใจของผมให้ขึ้นมาจากเหวลึกนี้ได้

ยิ่งผมรู้สึกว่า ผมไม่เหมาะกับที่นี่ผมไม่เหมาะกับงานเหล่านี้ ผมไม่เหมาะกับสิ่งเหล่านี้เลยผมก็ยิ่งอยากหนีออกไปจากจุดๆนี้มากขึ้นเท่านั้น
แต่ด้วยสถานการณ์ และความจำเป็นบังคับ
ผมก็ไม่สามารถทำอย่างที่ผมอยากทำได้

ใจผมอึดอัดจนทนไม่ไหว
กายผมเหนื่อยล้าจนไม่อยากขยับ
ผมหมดแรงไม่อาจเดินหน้าต่อไปได้
ขณะนั้นมีใครคนหนึ่งเดินมาบอกผมว่า

"ถ้าชีวิตมึงลำบากนัก มึงก็อย่าใช้เลยเหอะชีวิตนี้"
"ต่อให้มึงเรียกร้องขนาดไหน ใครก็ช่วยมึงไม่ได้หรอก ถ้ามึงไม่ช่วยตัวเอง"
"หุบปากแล้วเดินต่อไปเหอะ"
"สัด!!"

http://trumpboyz.blogspot.com/

วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554

"ฉันจะร้องไห้แทนเธอให้เองนะ"



"ฉันจะร้องไห้แทนเธอให้เองนะ"

หญิงสาวคนนั้นพูดกับผมเบาๆ
น้ำตาของผมค่อยๆแห้งไปอย่างช้าๆ
ความรู้สึกหนักหน่วงที่หัวใจค่อยๆจางไป
โลกสีดำ สว่างขึ้นอย่างช้าๆ ราวกับพระอาทิตย์ยามเช้ากำลังทอแสงผ่านเส้นขอบโลก
สีสันค่อยๆแทรกลงไปในอณูของสรรพสิ่ง ขับไล่สีดำทะมึนออกจากพื้นผิว
ไม่รู้ทำไม
ความรู้สึกอยากจะยิ้ม รื้นขึ้นมา
จนมุมปากของผม ยกขึ้นเองโดยไม่ได้ตั้งใจ

แต่ภาพตรงหน้าของผม
หญิงสาวตรงน้ำกลับมีน้ำตาเอ่อขึ้นมาที่ขอบตา
ดวงตาเริ่มเปลี่ยนสี หยดน้ำใสจ่อขึ้นมา เตรียมตัวจะทิ้งตัวลงบนแก้ม
ผมรู้สึกได้ถึงความรู้สึกห่อเหี่ยว และสิ้นหวังจากใบหน้าของเธอ
แต่กระนั้นเธอก็ยังฝืนยิ้มมาให้ผม

ผมไม่รู้ว่า รอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยความรู้สึกที่มากมายขนาดไหน
มันซ่อนความรู้สึกสิ้นหวัง ทั้งหมดทั้งมวลที่ผมรู้สึกเมื่อครู่ก่อน
แต่มันก็ยังเผยความหวังดี มาให้ผมอย่างเปี่ยมล้น

และในขณะที่รอยยิ้มของผมลอยขึ้นมาอย่างหยุดไม่อยู่
น้ำตาของเธอก็พร่างพรูลงสู่แก้มสีนวล

แม้ว่าจิตใจของผมจะรู้สึกโปร่งสบายขนาดไหนก็ตาม
แต่ความรู้สึกผิดกลับแทงทะลุขึ้นมาไม่หยุดหย่อนเช่นกัน

ผมเอื้อมมือออกไปแตะไหล่ของเธอ
เธอพยายามกลั้นน้ำตา แล้วเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม

"เธอไม่ต้องร้องไห้แทนผมหรอกนะ ความรู้สึกไม่ดีทั้งหมดนั้น เกิดจากใจของผมเอง"
"หากมันจะดับไป ก็ควรจะดับด้วยใจของผม ไม่ใช่ให้ใครมารับภาระแทน"
"ถ้าเธอรักผม เธอแค่นั่งข้างๆก็พอแล้วล่ะ ไม่ต้องร้องไห้แทนผมหรอก"

..........

น้ำตาของผมเริ่มปรากฏขึ้นอีกครั้ง
พร้อมๆกับรอยยิ้มของเธอ


http://trumpboyz.blogspot.com/