ใครอยากไปคาร์เนกี้ ฮอลล์ ยกมือขึ้น!
สามปีให้หลังมานี้ เราพึ่งรู้ซึ้งถึงคุณค่าของสิ่งที่เราเคยคิดว่ามันไม่สำคัญ
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลจากความเป็นเด็ก ความขี้เกียจ หรืออะไรก็ตามแต่
ที่ทำให้เรามองสิ่งสองสิ่งผิดเพี้ยนไปจากสิ่งที่ควรเป็น
แต่ในช่วงสองสามปีหลังมานี้
ประสบการณ์จากการเรียนในมหาวิทยาลัย และนอกมหาวิทยาลัย
จึงทำให้เราเข้าใจ และศรัทธาในสิ่งสองสิ่งนั้นมากอย่างประมาณมิได้
สองสิ่งนั้น คือ การเรียนรู้ และ การฝึกฝน
สมัยที่เรายังเป็นเด็กมัธยม เราเคยคิดว่า
คนเราจะทำอะไรได้ หรือทำอะไรไม่ได้ มันมาจากพรสรรค์
หรือก็คือ ธรรมชาติของบุคคล
เช่น ศิลปะ ดนตรี ตรรกะ ความจำ หรือ ทักษะด้านอื่นๆ
ไม่ใช่ว่าทุกคนสามารถทำได้
สิ่งบางสิ่ง เกิดขึ้นมาเพื่อคนบางคนเท่านั้น
จึงพาลทำให้เราไม่ให้คุณค่าของการเรียนรู้ในหลายๆด้าน
คิดว่า การเรียนในโรงเรียน ไม่สำคัญ
ทำไมเราต้องมานั่งเรียนฟิสิกส์ เคมี ชีวะ เลข และอะไรก็ตามแต่
ซึ่งเราไม่คิดว่าจะได้ใช้ในชีวิตจริง
ใครจะมานั่งถามว่า ไส้เดือนตัวนี้ อยู่ในสปีชี่ย์อะไร
ถ้ามันกระดึ๊บด้วยความเร่ง ห้าเซนติเมตรต่อวินาที ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ มันถึงจะไปถึงดาวอังคาร
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเราหยดทิงเจอร์ ไอโอดีนลงไปบนตัวมัน จะเกิดปฏิกิริยาอะไรหรือไม่
หรือ เมื่อมันกระดึ๊บ ณ จุดสูงสุดนั้น เป็นพาราโบลา มีจุดสูงสุด เป็น x หรือ y
ในขณะนั้นเราไม่เคยให้ความสำคัญกับวิชาเหล่านี้ มากไปกว่า
“เอาไปสอบ”
และเมื่อสอบเสร็จ ก็ทิ้งมันไป ไม่ไยดี
ยกเว้นว่า สิ่งนั้นจะติดอยู่ในความสนใจจริงๆ
อย่างเช่น เรื่องราวของฟิสิกส์บางเรื่อง
หรือแม้แต่การใช้ชีวิตประจำวัน
ที่เราไม่เคยเรียนรู้อะไรจากการสังเกตสิ่งรอบตัวแม้แต่น้อย
เฝ้าคิดถึงแต่ตัวเอง โดยไม่เคยมองสิ่งรอบข้างอย่างพิจารณามาก่อน
แล้วก็ตีความไปเองว่า มันเป็นแบบนั้น แบบนี้
แล้วก็คิดว่า กูรู้แล้ว
การฝึกฝนก็เช่นกัน
เราเคยคิดว่า ถ้าเราทำอะไรได้ดี มันก็ควรจะมาดีตั้งแต่แรก
เช่น เราเคยฝึกวาดรูป ซึ่งเราก็ชอบเพราะเราก็ทำได้ดีพอใช้
ส่วนเรื่องของดนตรี พอเราลองเล่นแล้ว มันไปไม่ค่อยไหว
ก็พาลเลิก ทิ้งมันไปซะอย่างนั้น
โดยคิดว่า นี่มันไม่ใช่เรา
ซึ่งนิสัยและแนวคิดแบบนี้ติดตัวมาถึงตอนเรียนมหาวิทยาลัย
ก็ยังคงความเชื่อผิดๆแบบนี้ไว้ไม่เลิก
จุดเปลี่ยนของเราเกิดขึ้นเมื่อได้เรียนกับท่าน
ซึ่งตรงนี้ ต้องขอบอกว่า เราเคารพท่านจริงๆนะ
ท่านเป็นผู้จุดประกายอะไรบางอย่างในตัวเรา ทำให้เราหันกลับมามองตัวเองมากขึ้น
และศึกษาตัวเองมากขึ้น รวมทั้งพยายามวิเคราะห์อะไรหลายอย่างในโลกใบนี้มากขึ้น
นับจากนั้นเราถึงเข้าใจคำกล่าวที่ว่า
“นักศึกษา ศึกษาเพื่อให้รู้ว่า เขายังไม่รู้”
ด้วยประสบการณ์สองสามปีให้หลังมานี้
ทำให้เรารู้ว่า การเรียนรู้ และ การฝึกฝน เปลี่ยนคนได้จริงๆ
การเรียน ไม่จำเป็นต้องหมายถึงการเรียนในห้องเรียนอีกต่อไป
การใช้ชีวิต การมองโลก การอ่าน การฝึกฝน การทำซ้ำๆ
ทุกอย่างคือการเรียนรู้
เป็นกระบวนการที่ทำให้เราเข้าใจอะไรบางอย่างมากขึ้น
แล้วเราเมื่อเราทะลุผิวเปลือกของสิ่งนั้นลงไป
เราก็จะได้รู้ว่า ใต้ผิวเปลือกที่เราคิดว่า เราเคยเห็น และรู้
แท้จริงแล้ว ใต้นั้นยังมีอีกหลายสิ่งที่ลึกล้ำมาก ซึ่งเราไม่เคยมองเห็นมัน
เพราะเราขาดประสบการณ์ และการคิดวิเคราะห์
การเรียนรู้ไม่เคยจำกัดอยู่แค่ ชื่อ วิชา
แต่มันหมายถึง ชีวิต ทั้งชีวิต โลกทั้งโลก และห้วงเวลาทั้งหมด
เหมือนที่มีคนเคยกล่าวว่า “ชีวิตนี้คือการเรียน” ก็คงมิผิดนัก
ส่วนการฝึกฝนก็เป็นผลพวงต่อเนื่องจากการเรียนรู้
จนถึงวันนี้เราเชื่อเหลือเกินว่า
คนที่เก่งสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากๆ
มีอยู่ด้วยกันสองเหตุผลคือ
หนึ่ง เขาเกิดมาเพื่อสิ่งนี้
สอง เขาอยู่เพื่อสิ่งนี้
เราคิดว่า คนเราสามารถทำได้ทุกอย่าง
ถ้าหากเราอยู่ใกล้ชิดกับมัน นานเพียงพอ
อยู่กับสิ่งนั้นจนเข้าใจ จนรู้จัก จนสนิทกัน เหมือนเพื่อน เหมือนคนรู้ใจ
รู้ว่า เราจะทำอย่างไรกับสิ่งนั้น รู้ว่า เราจะปฏิสัมพันธ์กับมันอย่างไร
สิ่งเหล่านั้นก็คล้ายกับเพื่อน
เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเพื่อน แต่เราอยู่ด้วยกันจนรู้ใจ
เราอาจไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งนั้น แต่ถ้าเราอยู่กับสิ่งนั้นจนรู้ใจ
เราก็จะคุยกับสิ่งนั้น เหมือนเพื่อนสนิท
ใครอยากวาดรูปเก่งๆ จงวาดทุกวัน
ใครอยากเล่นดนตรีเก่งๆ จงเล่นทุกวัน
ใครอยากออกแบบเก่งๆ จงคิดทุกวัน
ใครอยากเล่นกีฬาเก่งๆ จงซ้อมทุกวัน
ใครอยากทำอะไรเก่งๆ จงทำสิ่งนั้นทุกวัน
ใครอยากไป คาร์เนกี้ ฮอลล์ คุณต้อง ฝึก ฝึก ฝึก และฝึก
เมื่อคุณอยู่กับสิ่งนั้นนานเพียงพอ
คุณก็จะเรียนรู้มุมมอง และด้านใหม่ๆของสิ่งนั้น
โลกที่คุณไม่เคยเห็น มันก็จะเปิดออกมาให้เห็นอย่างแน่นอน
จงเรียนรู้ และฝึกฝน
คาร์เนกี้ ฮอลล์ รอท่านอยู่เสมอ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น