วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

เรา คือ เส้นรอบวง

เรา คือ เส้นรอบวง

เคยบ้างไหม
เวลาที่อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย แต่เหมือนอยู่เดียวดาย
เคยบ้างไหม
เวลาที่คุยกับใครบางคน แต่คุยอย่างไรก็ไม่เข้าใจกัน
เคยบ้างไหม
เวลาที่อยู่ท่ามกลางคนรู้จัก แต่เหมือนไม่รู้จัก
เคยบ้างไหม
เวลาที่อยู่กับคนคุ้นเคย แต่กลับรู้สึกเหินห่าง

ความรู้สึกแปลกแยก ก่อตัวขึ้นจากมุมหนึ่งในจิตใจ
โดยที่ไม่มีที่มาที่ไป
จากกลุ่มคนที่เราเคยสนิท ชิดใกล้
แต่อยู่ๆ เรากลับรู้สึกเหมือนได้หลุดออกจากวงโคจรนั้นๆ
โดยการจะกลับเข้าไปนั้น ยากเหลือเกิน


ความสัมพันธ์ของคนเรานั้น อาจคล้ายๆกับการที่เรายืนล้อมกันเป็นวงกลม
เราต่างจับมือกันและกัน เพื่อสร้างวงล้อมวงหนึ่งขึ้นมา
เพื่อให้การหันหน้าเข้าหากัน คุยกัน เป็นเรื่องง่าย
และเป็นการสร้างกำแพง เพื่อป้องกันปัจจัยภายนอก
การสร้างวงล้อมยังช่วยให้เราเรียนรู้กันได้ง่ายขึ้น
เข้าใจกันง่ายขึ้น ศึกษาและหาข้อสรุปว่า
เราอยู่กันในวงล้อมแบบนี้เหมาะสมดีแล้ว
หรือเราควรจะเดินออกไปหาวงอื่นดี

แทบทุกคนที่ต้องการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของวงล้อมใดวงล้อมหนึ่ง
บางคนอาจต้องการเป็นส่วนหนึ่งของวงล้อมขนาดใหญ่
ทำให้เกิดสายสัมพันธ์มากมาย
แต่บางคนก็ขอแค่เป็นวงล้อมขนาดเล็ก
ซึ่งอาจจะอบอุ่นกว่า ใกล้ชิดกว่า

วงล้อมสร้างความรู้สึกมั่นคง และปลอดภัยให้เรา
ทำให้เรารู้สึกอบอุ่น และวางใจ
เรารู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เมื่อเรามี ที่ยืนอยู่ในวงล้อมนั้น


ที่ยืนของเราในวงล้อม
ทำให้เราสามารถรู้ว่าเราควรมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นอย่างไร
แต่บางครั้งเวลาเรายืนในที่ยืนที่คุ้นเคย หรือไม่คุ้นเคย
ความรู้สึกหวั่นไหวอาจจะก่อตัวขึ้นมาโดยที่เราไม่รู้ตัว
ความรู้สึกแปลกแยกที่ สั่นคลอนความเชื่อมั่นของเรา
ทำให้เราเกิดไม่มั่นใจในที่ยืนของเราขึ้นมา
จากนั้นเราอาจจะปล่อยมือจากวงล้อมโดยที่เราไม่รู้ตัว ก็เป็นได้

เมื่อเราปล่อยมือจากวงล้อมนั้น
ไม่ได้หมายความว่า วงล้อมนั้นไม่ได้ต้อนรับเรา
แต่ความรู้สึกของเราเองต่างหากที่ตอกย้ำว่า
เราไม่ใช่ส่วนหนึ่งในวงล้อมนั้นแล้ว
เราไม่มี ที่ยืนในวงล้อมนั้นอีกต่อไป
ความรู้สึกของเราเอง ที่เป็นสิ่งที่ผลักดันให้เราห่างไกลจากวงล้อมนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ

ความรู้สึกแปลกแยก
หาที่ยืนไม่เจอ จึงเป็นความรู้สึกที่อันตรายพอสมควร
นอกจากจะทำให้เราเศร้า เหงา โดดเดี่ยวเกินจำเป็น
อาจส่งผลต่อสายใยความสัมพันธ์ระหว่างกันอีกด้วย

หากความรู้สึกนั้นอยู่ไม่นาน
เราลบมันออกไปได้เร็ว เราก็สามารถกลับไปยืนที่เดิมของเราได้ง่าย
แต่ยิ่งเวลาผ่านเลยไปนานแค่ไหน
ความรู้สึกของเรา และระยะห่างของช่องว่างสำหรับเรานั้น
ก็ยิ่งเป็นอุปสรรคมากขึ้นเรื่อยๆ
จนวันหนึ่งวงล้อมนั้นอาจจะปิดลง
และที่ยืนของเราก็หายไปจนรื้อฟื้นกลับมาไม่ได้อีก



วงล้อมแห่งสายสัมพันธ์เป็นสิ่งสำคัญเหลือเกิน
หากเราได้อยู่ในวงล้อมใดอย่างสนิทใจแล้ว
หากเรามีที่ยืนอยู่ท่ามกลางเหล่าคนที่เรารัก และรักเรา
ขอให้เราจงรักษาความสัมพันธ์ ความรู้สึก และที่ยืน ของเราไว้ให้ดี

เพราะที่ยืน ที่ทำให้เราเป็นตัวเรา
ทำให้เรามีความสุขอยู่บนโลก
ทำให้เรารู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ได้ยืน
มันไม่ได้หากันง่ายๆ

อย่าปล่อยมือจากวงล้อมนั้นง่ายๆ
ด้วยอารมณ์ชั่ววูบ หรือความรู้สึกแปลกแยกเพียงพริบตา

สายสัมพันธ์ ไม่ใช่สิ่งที่ขาดง่าย แต่ก็ไม่ได้ยืนยงตลอดกาล





ประเด็นนอกเหนือที่อยากบอกบางอย่าง คือ

หากเราได้ยืนอยู่ในวงล้อมแล้ว
จงเป็นส่วนหนึ่งของวงล้อม
จงอย่าเป็นจุดศูนย์กลางของวงล้อม

คุณจะไม่มีทางได้สัมผัสตัวตนของวงล้อมนั้นอย่างแท้จริง
หากคุณยืนอยู่คนละสถานะกับคนอื่นๆ

วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2554

สันดานของนายทรั้มบอย

สันดานของนายทรั้มบอย

เราเป็นคนชั่วมาก อย่าคบเรา

เพราะว่าเรานั้นมีคุณสมบัติดังนี้

เราเป็นคนที่คิดอยู่เสมอว่า ความคิดของกู ถูกต้องเสมอ
ใครคิดต่างกับกู มันผู้นั้น โง่!!!

เราไม่เคยยอมรับความแตกต่าง และมักยัดเยียดความคิดตัวเอง
ให้กับผู้อื่นเสมอ ถ้ามึงไม่ชอบตรงกับกู มึงนั้นไร้รสนิยม

เราเป็นคนที่ไร้ระเบียบวินัยสิ้นดี จิตสาธารณะก็ไม่ค่อยมี
ถ้ากูมีช่องที่จะหาผลประโยชน์ใส่ตัวได้ กูขอก่อนเลยแล้วกัน
บ้านเมืองจะเป็นไงไม่สน ขอกูสบาย

เราเป็นคนชอบทะเลาะกับคนอื่นๆ
เพราะว่ามันโง่ มันไม่เข้าใจเรา
มึงต้องเดินตามกูสิ ถ้ามึงไม่เดินตามกู มึงมันควาย!!

เราเป็นคนที่ชอบยกตนข่มท่านเสมอ
กูเก่งสุด ไม่มีใครเทียบกูได้
สิ่งที่มึงทำ มันห่วย และไร้ค่า
ไม่มีสิ่งใด เทียบเท่าสิ่งที่กูทำได้
เพราะกูเมพสุด

เราเป็นคนติดตามข่าวสารอย่างรวดเร็ว
แต่ขี้เกียจคิด ก็เลยเชื่อทันที
กูเห็นอะไร ใครบอกอะไร กูเชื่อก่อน
เพราะว่าเชื่อทีหลัง เดี๋ยวเชย
ถ้าใครทำอะไรผิดในสายตากู
ยังไม่ต้องรู้ ตื้นลึกหนาบาง
ขอกูด่าก่อน พ่อแม่กูสอนไว้

เราเป็นคนที่ไม่ค่อยรู้ตัวเท่าไหร่
และไม่คิดจะฟังใคร
ใครด่ากู กูด่ากลับ
มึงดีนักหรือไง
มึงเก่งมากสินะ ไอ้ควาย
อย่าเสือกมาสั่งสอนกู
กูไม่ฟังมึงหรอก

เราเป็นคนชอบดูถูกคนอื่น
ก็แน่นอน
เพราะว่ากูเมพสุด
กูเก่งกว่ามึงทุกอย่าง
มึงก็ควรจะรู้ได้แล้ว ว่ามึงนั้น ต่ำต้อยกว่ากูมากมาย
อย่าสะเออะมาแหยมกับกู
ห้ามใครก็ตามด่ากู
กูจะเอาคืนให้สาสม

เราเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองสูง
ถ้ากูเชื่ออะไรแล้ว ใครจะพูดอะไร กูจะไม่ฟังทั้งสิ้น
เพราะความคิดของกูนั้น กลั่นกรองอย่างละเอียดและบริสุทธิ์
ราวกับสายน้ำจากหิมาลัย
สิ่งที่มึงพูดมานั้น ล้วนมีแต่น้ำเน่าทั้งสิ้น
อย่าให้กูด่ามึงเลยนะ ไอ้เสร่อ

เราเป็นคนชอบจับผิดคนอื่นมาก
เพราะว่าการกดคนอื่นให้ต่ำ การถีบคนอื่นลงไป
มันทำให้ตัวกูดูเท่ขึ้น เจ๋งขึ้น
คนก็จะยกย่องว่า แหม่ กูนี่ เก่งสัดๆ!!
ทำให้คนอื่นหน้าแหก ทำให้คนอื่นล้มเหลวนี่แหละ
ความสุขของกู
อะไรนะ!
จะหาความผิดกูเหรอ
ไม่มีหรอก! เพราะว่า กูเทพที่สุด ถูกทุกอย่าง

เราเป็นคนที่บางทีก็ตอแหลโคตรเก่ง
ทั้งซึน ทั้งแถ
ถ้ากูไม่ยอมรับผิดซะอย่าง ใครจะทำไม
ออ ลืมไป!
กูไม่เคยผิด!!!

เราเป็นคนขี้อิจฉา
เห็นใครดีกว่าไม่ได้
มันคันไม้คันมือ อยากจะบ่อนทำลายมันเหลือเกิน
เราเสพย์ละครมากไปไหม?

เราเป็นคนขี้เกียจ
ขี้เกียจทำงาน ขี้เกียจขวนขวาย
อ่านหนังสือก็ขี้เกียจอ่าน
ชอบดูละครมากกว่า
แต่อยากได้เงินเยอะๆ งานสบายๆ นั่งกินนอนกิน
แล้วได้เงิน มีงานไหนเหมาะกับกูบ้าง

เราเป็นคนชอบเอารัดเอาเปรียบคนอื่นทุกครั้งที่มีโอกาส
ใครทำอะไรพลาด กูจะเสียบทันที
ใครล้ม กูไม่ข้าม เพราะกูกระทืบ

เราเบื่อบริษัทที่เราทำงานมาก
เพราะว่า ในบริษัทของกูมันมีบุคลากรขั้นเทพเต็มไปหมด
คนแบบกูมีอยู่เต็มบริษัท
นายกูแมร่งไม่มีใครดีสักคน
มีแต่คนชอบทุจริต เอาเปรียบลูกน้อง
คณะกรรมการก็เอาแต่ นั่งๆนอนๆ
ผู้บริหารก็ง่อยเปลี้ย เสียขา
ไม่ค่อยอยากพูดถึงเจ้าของบริษัทเท่าไหร่
ไม่ค่อยดี เดี๋ยวถูกไล่ออก


อุ้ย! ข้อเสียเราเยอะเกินไปแล้ว

เราก็มีข้อดีนะ จะไล่ให้ฟัง!

เราเป็นคนยิ้มง่าย และมีน้ำใจ

เราเป็นคน….

เป็นคน….

เอ่อ นึกไม่ออกแล้วว่ะ

………………..

เราเป็นคนเลวมากไหม?
อย่าทำตัวแบบเราเลยนะ ขอร้อง
ในสังคมนี้ มีเราเป็นแบบนี้คนเดียวพอแล้ว

ขอร้องนะ
อย่าเอาเยี่ยงอย่าง คนแบบเรา

วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2554

ยิ่งอ่านยิ่ง

ยิ่งอ่านยิ่ง

ประวัติศาสตร์ห้าพันปีของมนุษย์ ถูกบันทึกอยู่ในรูปแบบของตัวอักษร
ลงในแผ่นกระดาษ ซึ่งใช้ตัวกลางที่เรียกว่า ภาษา และหมึก

การที่เราอ่านหนังสือ
มันก็เปรียบได้กับที่เรากำลังศึกษาประวัติศาสตร์ของโลก
ผ่านมุมมองและการเรียบเรียงจากบุคคลหนึ่ง หรือองค์กรหนึ่ง

หนังสือ

อาจเป็นบันทึกทั้งเรื่องราว ความเป็นมา ความคาดเดาที่มีต่อเวลาของโลก
อาจเป็นบันทึกของความเชื่อ ของใครคนหนึ่ง หรือกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง หรือกลุ่มคนกลุ่มใหญ่
อาจเป็นบันทึกของศาสตร์ต่างๆ ที่มีใครบางคนค้นพบ และต้องการส่งต่อให้มวลมนุษย์
อาจเป็นบันทึกของความรู้สึก นึกคิด อารมณ์ และประสบการณ์ของใครคนหนึ่ง
อาจเป็นบันทึกของความคิดเห็นของคนบางคน หรือคนบางกลุ่ม

หนังสือ
ให้ความรู้
ให้ความบันเทิง
ให้อารมณ์
ให้ห้วงเวลาสำหรับการศึกษาตนเอง

หนังสือ สามารถสร้างเรา
หนังสือ สามารถหล่อหลอมเรา
หนังสือ สามารถทำให้เราเปลี่ยนความคิด หรือทำให้เรายึดมั่นกับความคิดเดิม

ดังนั้นการอ่านหนังสือ
ก็คือการรวบรวม และเรียนรู้แนวคิด จากหลากหลายมุมมอง
และเมื่อแนวคิดเหล่านั้น ผ่านการคิดวิเคราะห์
มันก็จะถูกกลั่นกรองออกมา เพื่อผสานรวมกับแนวคิดคิดเดิมของเรา
แล้วความคิดของเราก็มักจะกลายพันธุ์ไปเล็กน้อยไปในทางใดทางหนึ่ง

นั่นหมายความว่า ความคิดของคนเราจะเติบโตขึ้นทุกครั้งที่อ่าน
ยิ่งอ่านมากเท่าไหร่ เราก็จะเข้าใจอะไรหลายๆอย่างมากขึ้น

เราเติบโตขึ้นแล้ว



แต่…..

เราจะคิดถึงเด็กคนเดิมไหมนะ

เราจะคิดถึงความเป็นผ้าขาว ความบริสุทธิ์ ที่ยังไม่เคยถูกใครโน้มน้าวทางความคิด
เราจะคิดถึงตัวเรา สมัยที่ยังตีความอะไรเอาเอง คิดอย่างไร ก็เชื่อว่ามันเป็นแบบนั้น
โดยที่ไม่จำเป็นต้องคิด วิเคราะห์ และไตร่ตรอง

แม้ว่าเราจะเข้าใจอะไรผิด
จะมีคนบอกว่า ไม่เป็นไร เรายังเด็ก
จะมีคนบอกว่า เดี๋ยวก็จะเข้าใจเอง เมื่อโตขึ้น
จะมีคนบอกเราว่า สิ่งที่ควรจะเป็น นั้นเป็นอย่างไร

แล้วเราก็อาจจะเชื่อทันที โดยที่ไม่ต้องไตร่ตรองใดๆ

เราจะคิดถึงช่วงความคิดที่เรายังเด็กไหมนะ
เราจะเสียดายจินตนาการที่ปราศจากความรู้ไหมนะ
เราจะเสียดายโลกอันสดใสไหมนะ หากเราโตขึ้นแล้วพบว่าโลกนั้นไม่สวยงาม

เราจะสนใจ ประวัติศาสตร์ห้าพันปีของมนุษย์ทำไม
เราจะสนใจ ประวัติศาสตร์และอนาคตของโลก และจักรวาลทำไม
เราจะสนใจ ว่าผู้อื่น คิดอย่างไร ไปเพื่ออะไร

หากก่อนอ่านเราเคยอยู่ในโลกอันสดใส บริสุทธิ์
แต่หลังอ่านเรากลับพบว่า เราไม่ได้ยืนอยู่ในโลกอันสวยงามเช่นนั้น

เช่นนั้น ไม่อ่าน จะดีกว่าหรือไม่?


หรือว่า เราควรจะเตรียมพร้อมเพื่อเผชิญชะตากรรมเหล่านั้น
เพราะไม่ว่าอย่างไร สักวันเราก็คงต้องเผชิญมัน….

เราจึงต้องสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาเสียในขณะที่เรายังมีเวลา….

วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2554

ใครอยากไปคาร์เนกี้ ฮอลล์ ยกมือขึ้น!

ใครอยากไปคาร์เนกี้ ฮอลล์ ยกมือขึ้น!

สามปีให้หลังมานี้ เราพึ่งรู้ซึ้งถึงคุณค่าของสิ่งที่เราเคยคิดว่ามันไม่สำคัญ

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลจากความเป็นเด็ก ความขี้เกียจ หรืออะไรก็ตามแต่
ที่ทำให้เรามองสิ่งสองสิ่งผิดเพี้ยนไปจากสิ่งที่ควรเป็น

แต่ในช่วงสองสามปีหลังมานี้
ประสบการณ์จากการเรียนในมหาวิทยาลัย และนอกมหาวิทยาลัย
จึงทำให้เราเข้าใจ และศรัทธาในสิ่งสองสิ่งนั้นมากอย่างประมาณมิได้


สองสิ่งนั้น คือ การเรียนรู้ และ การฝึกฝน


สมัยที่เรายังเป็นเด็กมัธยม เราเคยคิดว่า
คนเราจะทำอะไรได้ หรือทำอะไรไม่ได้ มันมาจากพรสรรค์
หรือก็คือ ธรรมชาติของบุคคล
เช่น ศิลปะ ดนตรี ตรรกะ ความจำ หรือ ทักษะด้านอื่นๆ
ไม่ใช่ว่าทุกคนสามารถทำได้
สิ่งบางสิ่ง เกิดขึ้นมาเพื่อคนบางคนเท่านั้น

จึงพาลทำให้เราไม่ให้คุณค่าของการเรียนรู้ในหลายๆด้าน
คิดว่า การเรียนในโรงเรียน ไม่สำคัญ
ทำไมเราต้องมานั่งเรียนฟิสิกส์ เคมี ชีวะ เลข และอะไรก็ตามแต่
ซึ่งเราไม่คิดว่าจะได้ใช้ในชีวิตจริง

ใครจะมานั่งถามว่า ไส้เดือนตัวนี้ อยู่ในสปีชี่ย์อะไร
ถ้ามันกระดึ๊บด้วยความเร่ง ห้าเซนติเมตรต่อวินาที ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ มันถึงจะไปถึงดาวอังคาร
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเราหยดทิงเจอร์ ไอโอดีนลงไปบนตัวมัน จะเกิดปฏิกิริยาอะไรหรือไม่
หรือ เมื่อมันกระดึ๊บ ณ จุดสูงสุดนั้น เป็นพาราโบลา มีจุดสูงสุด เป็น x หรือ y

ในขณะนั้นเราไม่เคยให้ความสำคัญกับวิชาเหล่านี้ มากไปกว่า

เอาไปสอบ

และเมื่อสอบเสร็จ ก็ทิ้งมันไป ไม่ไยดี
ยกเว้นว่า สิ่งนั้นจะติดอยู่ในความสนใจจริงๆ
อย่างเช่น เรื่องราวของฟิสิกส์บางเรื่อง

หรือแม้แต่การใช้ชีวิตประจำวัน
ที่เราไม่เคยเรียนรู้อะไรจากการสังเกตสิ่งรอบตัวแม้แต่น้อย
เฝ้าคิดถึงแต่ตัวเอง โดยไม่เคยมองสิ่งรอบข้างอย่างพิจารณามาก่อน
แล้วก็ตีความไปเองว่า มันเป็นแบบนั้น แบบนี้
แล้วก็คิดว่า กูรู้แล้ว


การฝึกฝนก็เช่นกัน
เราเคยคิดว่า ถ้าเราทำอะไรได้ดี มันก็ควรจะมาดีตั้งแต่แรก
เช่น เราเคยฝึกวาดรูป ซึ่งเราก็ชอบเพราะเราก็ทำได้ดีพอใช้
ส่วนเรื่องของดนตรี พอเราลองเล่นแล้ว มันไปไม่ค่อยไหว
ก็พาลเลิก ทิ้งมันไปซะอย่างนั้น
โดยคิดว่า นี่มันไม่ใช่เรา

ซึ่งนิสัยและแนวคิดแบบนี้ติดตัวมาถึงตอนเรียนมหาวิทยาลัย
ก็ยังคงความเชื่อผิดๆแบบนี้ไว้ไม่เลิก


จุดเปลี่ยนของเราเกิดขึ้นเมื่อได้เรียนกับท่าน
ซึ่งตรงนี้ ต้องขอบอกว่า เราเคารพท่านจริงๆนะ
ท่านเป็นผู้จุดประกายอะไรบางอย่างในตัวเรา ทำให้เราหันกลับมามองตัวเองมากขึ้น
และศึกษาตัวเองมากขึ้น รวมทั้งพยายามวิเคราะห์อะไรหลายอย่างในโลกใบนี้มากขึ้น

นับจากนั้นเราถึงเข้าใจคำกล่าวที่ว่า

นักศึกษา ศึกษาเพื่อให้รู้ว่า เขายังไม่รู้



ด้วยประสบการณ์สองสามปีให้หลังมานี้
ทำให้เรารู้ว่า การเรียนรู้ และ การฝึกฝน เปลี่ยนคนได้จริงๆ

การเรียน ไม่จำเป็นต้องหมายถึงการเรียนในห้องเรียนอีกต่อไป
การใช้ชีวิต การมองโลก การอ่าน การฝึกฝน การทำซ้ำๆ
ทุกอย่างคือการเรียนรู้
เป็นกระบวนการที่ทำให้เราเข้าใจอะไรบางอย่างมากขึ้น
แล้วเราเมื่อเราทะลุผิวเปลือกของสิ่งนั้นลงไป
เราก็จะได้รู้ว่า ใต้ผิวเปลือกที่เราคิดว่า เราเคยเห็น และรู้
แท้จริงแล้ว ใต้นั้นยังมีอีกหลายสิ่งที่ลึกล้ำมาก ซึ่งเราไม่เคยมองเห็นมัน
เพราะเราขาดประสบการณ์ และการคิดวิเคราะห์

การเรียนรู้ไม่เคยจำกัดอยู่แค่ ชื่อ วิชา
แต่มันหมายถึง ชีวิต ทั้งชีวิต โลกทั้งโลก และห้วงเวลาทั้งหมด
เหมือนที่มีคนเคยกล่าวว่าชีวิตนี้คือการเรียนก็คงมิผิดนัก


ส่วนการฝึกฝนก็เป็นผลพวงต่อเนื่องจากการเรียนรู้

จนถึงวันนี้เราเชื่อเหลือเกินว่า
คนที่เก่งสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากๆ
มีอยู่ด้วยกันสองเหตุผลคือ

หนึ่ง เขาเกิดมาเพื่อสิ่งนี้
สอง เขาอยู่เพื่อสิ่งนี้

เราคิดว่า คนเราสามารถทำได้ทุกอย่าง
ถ้าหากเราอยู่ใกล้ชิดกับมัน นานเพียงพอ
อยู่กับสิ่งนั้นจนเข้าใจ จนรู้จัก จนสนิทกัน เหมือนเพื่อน เหมือนคนรู้ใจ
รู้ว่า เราจะทำอย่างไรกับสิ่งนั้น รู้ว่า เราจะปฏิสัมพันธ์กับมันอย่างไร

สิ่งเหล่านั้นก็คล้ายกับเพื่อน
เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเพื่อน แต่เราอยู่ด้วยกันจนรู้ใจ
เราอาจไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งนั้น แต่ถ้าเราอยู่กับสิ่งนั้นจนรู้ใจ
เราก็จะคุยกับสิ่งนั้น เหมือนเพื่อนสนิท


ใครอยากวาดรูปเก่งๆ      จงวาดทุกวัน
ใครอยากเล่นดนตรีเก่งๆ  จงเล่นทุกวัน
ใครอยากออกแบบเก่งๆ   จงคิดทุกวัน
ใครอยากเล่นกีฬาเก่งๆ     จงซ้อมทุกวัน
ใครอยากทำอะไรเก่งๆ     จงทำสิ่งนั้นทุกวัน

ใครอยากไป คาร์เนกี้ ฮอลล์ คุณต้อง ฝึก ฝึก ฝึก และฝึก

เมื่อคุณอยู่กับสิ่งนั้นนานเพียงพอ
คุณก็จะเรียนรู้มุมมอง และด้านใหม่ๆของสิ่งนั้น
โลกที่คุณไม่เคยเห็น มันก็จะเปิดออกมาให้เห็นอย่างแน่นอน


จงเรียนรู้ และฝึกฝน
คาร์เนกี้ ฮอลล์ รอท่านอยู่เสมอ