วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

แบบสอบถาม

***คำเตือน***
แบบสอบถามนี้ไม่เหมาะกับทุกเพศทุกวัย
โปรดใช้วิจารณญาณในการตอบ


เมื่อไหร่กันหนอ?
ที่คำว่า สิทธิ เสรีภาพของมนุษย์ ถูกบัญญัติ และกำหนดขึ้นเป็นครั้งแรก

มนุษย์ต่อสู้เพื่อเสรีภาพของตนครั้งแรกเมื่อใด?
ต่อสู้กับใคร? ธรรมชาติ? สัตว์ป่า? หรือมนุษย์ด้วยกันเอง?
แล้วเหตุใดจึงมีการต่อสู้ขึ้น?
แสดงว่าต้องมีมนุษย์ที่ต้องการปกครอง จำกัดชีวิต ความคิดของมนุษย์อื่นอยู่นับแต่โบราณกาลมา

เหตุใดจึงเกิดการแบ่งชนชั้น?
ในเมื่อเราก็มีสองมือ สองตีน สองตา หนึ่งจมูก หนึ่งปากเท่ากัน
แสดงว่า ต้องมีคุณค่าบางอย่าง ที่สร้างฐานะที่ต่ำ และสูงขึ้น สิ่งนั้นคืออะไร?
ทำไมคนหนึ่งจึงมีอำนาจมากกว่าอีกคน?
ในขณะที่ทั้งสองคน ก็เหมือนๆกัน

เหตุใดจึงเกิดการรักร่วมเพศขึ้น?
ในเมื่อธรรมชาติ สร้างให้ชายคู่หญิง
ไม่ได้สร้างให้ชายคู่ชาย หรือหญิงคู่หญิง
มิเช่นนั้น มนุษย์อาจจะเหมือนสัตว์ที่มีสองเพศในตัวเดียวกัน
สืบพันธุ์กับเพศเดียวกันได้สิ
เหตุใดธรรมชาติ จึงไม่เปิดโอกาสนั้นขึ้นมา?
หรือ เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว รักร่วมเพศเป็นการฝืนธรรมชาติหรือไม่
หรือผิดธรรมชาติ หรือเกิดจากการ mutation หรือสาเหตุใด?
เหตุใดจึงถูกกีดกันจากสังคม
ความรักแบบรักร่วมเพศ ต่างกับ ความรักแบบต่างเพศอย่างไร?
โดยเนื้อแท้ ต่างกันหรือไม่?

เหตุใดจึงห้ามฆ่าคน?
มนุษย์เกิดมาก็ตายทุกคน
ไม่เห็นจะมีใครอยู่ค้ำฟ้า?
สักวันหนึ่งชีวิตที่เกิดมา ก็จะจากไป
แล้วตายเร็วตายช้า มันต่างกันอย่างไร?
เหตุใดการฆ่าคนด้วยกัน จึงเป็นบาป? หรืออย่างน้อยก็ผิดกฎหมาย?
ในเมื่อคนเราก็ฆ่ากันมาแต่ชาติปางก่อน
ฆ่ากันแย่งชิงสิ่งต่างๆ มีค่าบ้าง ไร้ค่าบ้าง
อิสรภาพ? เงินทอง? ชื่อเสียง? ทรัพยากร? มนุษย์?
ใครบอกว่า คนมีอารยธรรมแล้ว ไม่ฆ่ากัน?
ก็เห็นตายกันทุกวัน ติดคุกกันทุกวัน ฆ่าเจตนา ฆ่าไม่เจตนา
บางทีคนเคียดแค้นคนที่ฆ่าโดยไม่เจตนา มากกว่าคนที่ฆ่าโดยเจตนาอีก
ทำไม?
ทำไมฆ่าสัตว์ได้ แต่ฆ่ามนุษย์ไม่ได้?
ทำไมหนึ่งชีวิต มีค่าไม่เท่ากัน?
คนตายแล้วไง? กูตายแล้วไง? มึงตายแล้วไง? พ่อกูตายแล้วไง?
มดตายแล้วไง?
โลกเป็นอย่างไรต่อไป ถ้าไม่มีกู?

เหตุใดจึงเคียดแค้นคนที่ฆ่าคน?
ถ้าคนอื่นฆ่าคนที่เรารู้จัก ฆ่าคนที่เรารัก
อันนี้เข้าใจ
แต่ถ้าคนอื่นฆ่าคนอื่นที่เราไม่รู้จัก? ทำไมจึงเคียดแค้น?

มีคนหนึ่งฆ่าคนที่เรารู้จักหนึ่งคน
มีคนหนึ่งฆ่าคนไทยที่เราไม่รู้จักร้อยคน
มีคนหนึ่งฆ่าคนที่เอธิโอเปียพันคน
มีคนหนึ่งฆ่าพระหนึ่งรูป
มีคนหนึ่งฆ่าคนรักของคุณหนึ่งคน
มีคนหนึ่งฆ่าฮิตเลอร์
มีคนหนึ่งฆ่าคานธี
มีคนหนึ่งฆ่าเลดี้ กาก้า
มีคนหนึ่งฆ่าหมาหนึ่งตัว

ใครผิดมากที่สุด?
ใครเลวมากที่สุด?
เราเคียดแค้นใครที่สุด?
หรือถ้าเราเป็นคนหนึ่งคนใดในนั้น ใครที่เราฆ่าแล้วจะรู้สึกผิดน้อยที่สุด?
เพราะเหตุใด?


แบบสอบถามฉบับนี้ไม่มีเฉลย
ไม่เก็บข้อมูล
แค่อยากถามเฉยๆ

วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

A Method of Time Consuming


A Method of Time Consuming

ช่วงนี้เขียนอะไรกดดัน เครียด ชวนปวดหัวต่อเนื่องกันมาตลอดblog นี้ จึงขอพักมาเล่าเรื่องตัวเอง เบาๆ บ้างนะ

คือว่า
คนที่อยู่กะเรามา ก็คงรู้ว่า เราเป็นคนเยอะแค่ไหนทั้งๆที่แต่ก่อน ไม่เอาอะไรสักอย่างแต่บทจะเอา แมร่งก็จะเอาทุกอย่าง

หลังจากเรียนจบมาแล้ว หนึ่งปี ผ่านไป
ไม่ได้เป็นปีบัณฑิตแล้ว
ตอนนี้เป็นปี 7 แล้ว

แค่หนึ่งปีที่ผ่านมานี้
เรากลับได้อะไรมากมายอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน
หลังจากเรียนออกแบบมา 5 ปี และจบมาโดยตั้งเป้าว่า กูจะไม่เป็น designerทำให้หนึ่งปีที่ผ่านมา เอาเวลาจำนวนมาก ไปลงกับการทำอะไรสนอง need ตัวเอง

ตอนจบมาตั้งใจว่า จะไม่ทำงานประจำชัวร์ๆ
จึงมีเวลาว่างไปทำอะไรตั้งหลายๆๆๆๆอย่าง ที่ไม่ได้เงิน
ทำงานที่ตัวเองอยากทำ แต่บางทีก็ไม่ได้มีมูลค่าอะไร ไม่ได้มีคุณค่ากับใคร
แต่กลับมีคุณค่าในจิตใจ และชีวิตของเรา


ช่วงที่บ้าอะไร ก็จะทำสิ่งนั้นไม่หยุดหย่อนช่วงแรกๆ ก็กลับไปวาดภาพดรออิ้ง ดึงเอาความรู้สึกเดิมๆกลับมา
ต่อมาก็ไปวาดสีน้ำ วาดสีน้ำ อย่างไม่หยุดหย่อน จนรู้สึกสนุกและสะใจ
พอสีน้ำเริ่มแห้ง ก็เปลี่ยนไปวาดการ์ตูน วาดอะไรที่สะใจตัวเอง
พอมี uku ก็ติดมือ เล่นแมร่งตลอดเวลา
จนมาหลังสุดนี้
เริ่มกลับมาทำเซรามิก อย่างจริงจังอีกครั้ง

และนี่แหละ คือสิ่งที่อยากเล่าให้ฟัง

เซรามิก เป็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับเรามากๆ
เป็นการเผาเวลาไปอย่างเชื่องช้า และรวดเร็วในเวลาเดียวกัน

ก่อนหน้าที่จะมาทำงานของตัวเอง ก็ช่วย อ.พิม ทำงานที่สตูดิโอ
หลายๆวัน หลายๆคืน ใช้เวลาไปเรื่อยๆ นั่งหล่อดิน แต่งดิน ลงสี
ใช้เวลานั่งคุยกับ อ.พิม ไปเรื่อยๆ
เป็นช่วงเวลาที่รู้สึกคุ้มค่ากับชีวิตนี้เหลือเกิน

จนช่วงเปิดเทอมใหม่ งานของ อ.พิม เริ่มเพลาๆลง
ก็เลยเริ่มลงมือทำงานแรกของตัวเองสักที

เริ่มจากนั่งปั้น throwing หลังจากห่างเหินไปนาน
ค่อยๆฝึกปั้น ตั้งศุนย์กันใหม่
วันแรกๆ ก็เบี้ยวสิ้นดี อาทิตย์ และสองอาทิตย์ผ่านไป ก็รู้สึกว่าตัวเองทำได้ดีขึ้น
จนวันหนึ่งที่ น้องปีสอง เริ่มทำโปรเจคกาน้ำชา
ก็เลยถือโอกาสทำด้วย

พอทำมาชิ้นแรก สองชิ้นแรก แล้วอยู่ดีๆก็รู้สึกสนุกอย่างบอกไม่ถูก
ก็เลยคิดโปรเจคทำกาน้ำชาเซตใหญ่ขึ้นมา
แล้วก็เริ่มต้นเผาเวลาตัวเอง เอาตัวเองกลับไปหมกตัวอยู่ใน shop เซ เหมือนช่วงทีสิส
แตกต่างกันตรงที่ตอนทีสิส อยู่ชั้นสอง แต่ตอนนี้อยู่ชั้นหนึ่ง

กาหนึ่งใบ ใช้เวลาทำประมาณครึ่งวัน 4-5 ชม.
เป็นกาขนาดเล็กๆ แต่แดกเวลามหาศาล

ในระหว่างนี้ เราถึงได้ทำความรู้จักกับดินมากขึ้น
ค่อยๆคุยกับมันมากขึ้น ทำความเข้าใจถึงนิสัยมันมากขึ้น
เพราะดินก็เปรียบได้กับคน
มีนิสัย มีลักษณะส่วนตัว มีช่วงเวลาที่ยินยอมพร้อมใจ และช่วงเวลาขัดขืน
ถ้ามันยอมเรา เราจะทำอะไรกับมันก็ได้
ถ้าเราดูแลมันดีๆ มันก็จะให้เราทำอะไรกับมันได้นานๆ
แต่ถ้าเราไม่สนใจ ทิ้งขว้าง มันก็ทรยศเรา บางทีก็แตก หัก ให้เราช้ำใจเล่นซะงั้น

.........นี่มึงเป็นแฟนกูป่ะเนี่ย

ตอนนี้ทำไปถึงใบที่ 15 แล้ว ซึ่งคิดว่า อาจจะเป็นใบสุดท้าย
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทำให้เราตระหนัก และเรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง
ไม่ว่า จะในฐานะ potter หรือ คนใช้ชีวิต

สิ่งหนึ่งที่เราชอบมากคือ
กาน้ำชาที่เราทำนี้ จริงๆแล้ว มันใส่น้ำชาไม่ได้หรอก
ด้วยเหตุผลว่า จริงๆเราไม่ได้อยากทำให้มันเอามาใส่ได้จริงๆ และข้อจำกัดบางประการ
และอีกเหตุผลหนึ่งคือ
มันเต็มแล้ว

กาน้ำชา เซตนี้
มันอัดแน่นไปด้วยเวลา
การเรียนรู้ แรงกาย แรงใจ พลังความคิด แรงบันดาลใจ
ความรักที่เรามีให้มัน เต็มจนจะล้นกาอยู่แล้ว

เรารักมันมากเลยนะ

ดังนั้นถ้าเราให้ใครไป จงรักษาให้ดีแทนเราด้วยนะ

วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เรามีเสียงหนึ่งเสียงเท่ากัน

เรามีเสียงหนึ่งเสียงเท่ากัน

การเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นการเลือกเฟ้นหานายกรัฐมนตรีคนที่ 28 หรืออาจจะเป็นคนที่ 27 ต่อไป
แต่ผลจะออกมาอย่างไร ก็คงคาดเดาได้ตั้งแต่ก่อนเลือกอยู่แล้ว
ถ้าติดตามการเมืองมาสักพัก ก็น่าจะเห็นแนวโน้มของมติส่วนใหญ่ได้ไม่ยาก

แต่ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรก็ตาม
เราทุกคนก็ได้ใช้สิทธิ์ของตัวเองในการเลือกผู้นำโดยเท่าเทียมกัน

บางคนชอบเบอร์ 1 ก็เลือก
บางคนชอบเบอร์ 5 ก็เลือก
บางคนชอบเบอร์ 10 ก็เลือก
บางคนไม่ชอบอะไรเลย คิดไม่ออก บอกไม่ถูก ก็เลือกที่จะไม่เลือก

แต่ไม่ว่าจะ กา ช่องใด
ต่างคนก็ต่างใช้วิจารณญาณของตัวเอง
โดยใช้ประสบการณ์ และชุดข้อมูลของตัวเองที่ได้รับมา เป็นเครื่องตัดสินใจ
ดังนั้นการที่คนโดยทั่วไปคิดต่างกัน มันก็มาจากหลายปัจจัย
ไม่ใช่เฉพาะเรื่องการศึกษา หรือผลประโยชน์ อย่างที่ทุกคนนำมากล่าวอ้าง โจมตีกัน

แต่สิ่งที่สำคัญคือ การเลือกตั้งครั้งนี้
เป็นการเลือกตั้งตามกลไกของสังคมและกฎหมาย เป็นไปอย่างถูกต้อง
ไม่ว่าใครจะชนะ ได้เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี
ก็เข้ามาตามเกม ไม่ได้เล่นนอกเกมแต่อย่างใด (หรือเล่นวะ?)

ดังนั้นไม่ว่าเราจะได้นายกคนที่เราเลือกหรือไม่ เราก็ควรจะยอมรับ ว่าผลลัพธ์มันเป็นไปตามกติกา
การที่เราออกมาตีโพยตีพาย ว่าทำไมคนนี้ถึงได้วะ ทำไมคนที่เราเลือกถึงไม่ได้
มันเหมือนเด็กที่แพ้เกม ลงไปดิ้นกับพื้น
แล้วงอแงว่า กูจะชนะๆให้ได้

อีกทั้งการที่มาโจมตีฝ่ายตรงข้าม ว่า
คนที่เลือกเบอร์นี้ มันโง่ ไร้การศึกษา เลือกได้ไง
หรือ มึงได้ผลประโยชน์ล่ะสิ หรือมึงต้องการจะล้มล้างล่ะสิ
หรือแม้กระทั่งฝ่ายชนะ ออกมาเยาะเย้ย ถากถาง
ก็ยิ่งทำให้ทั้งหมดนี้ แสดงความไม่มีน้ำใจนักกีฬา
และการไม่ยอมรับสิทธิ์ของผู้อื่นมากเกินไปหน่อย


หลังจากนี้ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างไรก็ตาม
เราหวังว่า มันจะไม่เกิดกระแสต่อต้านอย่างเกินพอดีอีก
เพราะว่าในสมัยที่สีแดง เป็นผู้นำ ก็มีสีเหลืองออกมาต่อต้าน
และในสมัยที่สีฟ้าขึ้นเป็นผู้นำ สีแดงก็ออกมาขัดขวาง
จนเป็นอันไม่มีเวลาทำมาหากินใดๆ

ถ้าครั้งนี้ ฝ่ายที่ไม่พอใจ ยังออกมาทำตัวเป็นฟันเฟืองที่ไม่ยอมหมุน
เอาแต่จะขัดกับกลไกโดยรวมอีก มันก็ไม่มีวันที่ประเทศไทย มันจะได้ก้าวไปไหนได้
ต่างคนก็ต่างขัดแข้งขัดขา ไม่ให้อีกฝ่ายได้ขยับตัว แล้วมันจะไปทำอะไรได้
ไม่ว่ามันจะก้าวไปข้างหน้า หรือจะถ้าวถอยหลังลงคลอง
อย่างน้อยประเทศของเราตอนนี้มันก็ต้องการการเปลี่ยนแปลง
ไม่ใช่ยืนนิ่งอยู่ในจุดอันน่ากระอักกระอ่วน กลืนไม่เข้า คายไม่ออกแบบนี้

ถ้ามันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
ทุกอย่างดีขึ้น ก็ถือว่าเป็นบุญของประเทศนี้
แต่ถ้าทุกอย่างเลวร้าย ความเหี้ยกระหน่ำ เคราะห์ซ้ำ กรรมซัด
จนประเทศไทยจมลงถึงจุดต่ำสุด
เราก็อยากจะมองโลกในแง่ดีว่า
ถ้ามันถึงจุดๆนั้นจริงๆแล้ว เราเชื่อว่า คนในประเทศไทย จะหูตาสว่าง
เติบโตขึ้น และดิ้นรนให้ออกจากความหายนะด้วยการผนึกกำลังกันเอง
เพราะทุกคนต่างมีเจตนาที่ดีต่อชาติทั้งนั้น ไม่มากก็น้อย
แต่เพราะเรายังไม่เคยเจออะไรที่เลวร้ายจนถึงที่สุด
เราจึงเหมือนคนที่ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา

แต่เราเชื่อว่า ไม่ต้องถึงจุดนั้นก็ได้ คนไทยเราน่าจะมีวิจาณญาณมากพอ


หลังจากนี้ใครจะทำอย่างไร ก็คงตัดสินใจด้วยตัวเอง
แต่ถ้าไม่เป็นการบังอาจเกินไปนัก
เราขอเอาความคิดเห็นของเรา มาแนะนำหน่อย

ต่อจากนี้ไม่ว่าใครจะเป็นนายก เราก็อยากให้ทุกคนยอมรับมติส่วนใหญ่ของคนในประเทศ
เพราะว่านี่คือ ประเทศไทย ซึ่งเป็นของคนไทยทุกคน
แม้ว่าเราจะเกลียด หรือเราจะชอบ นายกคนนี้มากเพียงใด
ก็อยากให้คงความรู้สึกนั้นไว้ก็ได้ แต่ต้องยอมรับ
ไม่ใช่กูไม่เอา กูก็จะออกมาขัดขวาง
กูจะปิดถนน กูจะยึด กูจะเผา กูจะเมา กูจะอาละวาด ตามใจตัวเอง
หรือ ยืนกรานในความคิดของตัวเองโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

แต่เราไม่ได้บอกว่า จงลืมความเหี้ย ความระยำ ที่ใครคนนั้นเคยทำไว้
เราไม่ได้บอกว่า จงคล้อยตาม
เราไม่ได้บอกว่า จงเงียบ ไม่ตั้งคำถาม

สิ่งที่เราควรทำ น่าจะเป็นการติดตามการทำงาน การดำเนินงานของรัฐบาลชุดต่อไป
แล้วนำสิ่งที่เกิดขึ้นมาคิดวิเคราะห์ รวบรวมข่าว ข้อมูล
จากนั้นจึงนำมาตัดสินด้วยตัวเอง ว่า มันดี หรือไม่ดี หรือ อย่างไร
จากนั้นถ้ามันดี เราก็จงสนับสนุน
ถ้ามันไม่ดี เราก็ควรเอาหลักฐาน และแนวความคิดที่เราพิจารณา
มาตั้งคำถาม ชี้ประเด็นให้สังคมเห็น พร้อมหลักฐานประกอบ
ถ้าสิ่งนั้นฟังขึ้น เราเชื่อว่า ต้องมีคนไม่น้อยที่คล้อยตามเรา
ไม่ใช่จะยืนกราน กระต่ายขาเดียว ไปโดยเลื่อนลอย ไร้หลัก
หลังจากนั้นถ้าเราจะต่อต้าน กฏหมายก็เปิดทางให้เราต่อต้าน และขัดขวาง
ตามกติกาอยู่แล้ว การเล่นนอกกติกา ก็ไม่ควรเกิดขึ้นอีก
เพราะมันก็จะเป็นข้ออ้างในเกมการเมืองไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบสิ้น

และทุกครั้งการเล่นนอกกติกาที่ผ่านมา
นอกจากผลประโยชน์ หรือความสะใจเล็กๆน้อยๆของกลุ่มคนไม่กี่คนแล้ว
ผู้ที่เสียประโยชน์ที่ใหญ่ที่สุด หาใช่ใครอื่น
นอกจากประชาชนคนไทยที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินรูปขวานแห่งนี้


ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ทุกคนก็มีหนึ่งสิทธิ์ หนึ่งเสียงเท่ากัน
ไม่มีใครมีมากกว่าใคร
แล้วในเมื่อทุกคนก็ต่างตัดสินใจแล้ว ที่จะเลือกใช้เสียงของเราหนึ่งเสียงนี้
เลือกคนที่เราคิดว่าดี
หากการที่นายกรัฐมนตรีคนหนึ่งจะก้าวขึ้นมาได้
ก็หมายความว่า มีคนไทยเกินครึ่งหนึ่งของประเทศ
ตัดสินใจแล้วว่า บุคคลผู้นี้ ดีต่อประเทศ เหมาะที่จะเป็นผู้นำของพวกเรา
แล้วเราก็จะยังยืนกราน ไม่สนใจความคิดของคนจำนวนมากงั้นหรือ?

ไม่ว่าบุคคลผู้นี้จะดี หรือ ชั่ว หรือ เลวทราม ต่ำช้าเพียงใด หรือดีเลิศประเสริฐแค่ไหน
บุคคลผู้นี้ก็เป็นตัวแทนของคนเกินครึ่งของประเทศ
ซึ่งทุกคนก็มีความหวังที่จะผลักดันประเทศไทยของเรา
ให้เดินไปในทางที่ดี ที่ถูกที่ควร โดยมีบุคคลผู้นี้ เป็นผู้ตัวแทน

ในที่สุดแล้วหากเราจะเป็นประชาธิปไตย ตามที่เรากล่าวอ้าง อยากจะเป็นแล้ว
นอกจากเราต้องรู้จักสิทธิ หน้าที่ของตัวเอง
เราต้องรู้จักเคารพสิทธิ และการตัดสินใจของผู้อื่นด้วยเช่นเดียวกัน

ปล. แต่ถ้าถามถึงจุดยืนของเรา
เราขอบตอบด้วยสิ่งนี้
http://www.youtube.com/watch?v=5wcuthQFIWo