ศิลปะ จงสถิตย์อยู่กับท่าน
เราทุกคนมักเปรียบการใช้ชีวิต เป็นเส้นทางที่เราเดิน
เราเปรียบเป้าหมายของเรา เป็นปลายทาง
แต่อย่างที่ทุกคนต่างรู้กัน ว่า
สิ่งที่สอนให้เราเติบโตขึ้น ไม่ใช่ปลายทาง
แต่มันคือ ระหว่างทาง ต่างหาก
ระหว่างทางที่เรากำลังเดินไปนั้น
เรามักได้ประสบพบเจอกับสิ่งต่างๆมากมาย หลากหลาย
ทั้งสิ่งกีดขวาง ที่เรียกว่า อุปสรรค และปัญหา
ทั้งคนรอบข้าง ที่อาจเรียกว่า ผู้ร่วมทาง
หรือ สิ่งแวดล้อม ประสบการณ์ที่อยู่สองข้างทาง
สิ่งเหล่านี้ทำให้เส้นทางของเรามีคุณค่า
และทำให้ก้าวแต่ละก้าวของเรา มั่นคงหรือสั่นคลอน
การที่เราเรียนรู้จากเส้นทางที่เราเดินผ่านมา
แล้วเราก็ตัดสินใจว่า เราจะก้าวต่อไปอย่างมั่นใจ
หรือล้มเลิก แล้วเปลี่ยนเส้นทาง
มันไม่มีทางไหนที่ถูกหรือผิด ขึ้นอยู่กับการเลือกของเราเอง
ถ้าทางที่เราเลือกที่จะเดินไปให้สุด
วันหนึ่งเราเกิดรู้สึกว่า มันไม่ใช่เรา เราไม่อยากเดินแล้ว
ก็ไปเดินทางอื่นก็ได้
เปลี่ยนเส้นทาง ไม่ใช่สิ่งไม่ดี
การถอยหลัง ก็อาจไม่ใช่สิ่งไม่ดี
แต่สิ่งที่ไม่ดี คือ การไม่ขยับไปไหนต่างหาก
เมื่อเราเดินมาถึงจุดๆนี้ ทำให้เราเริ่มเข้าใจอะไรๆหลายๆอย่างมากขึ้น
สิ่งหนึ่งที่เราเริ่มรู้สึกตัว และ มีใครคนหนึ่งย้ำกับเรา
ทำให้เรามั่นใจในทางที่เราตั้งใจจะเดินมากขึ้น
สิ่งหนึ่งที่เราเริ่มเรียนรู้ คือ
“ศิลปะ”
ศิลปะ มีมุมมองที่กว้างมากๆ
แล้วแต่ว่าใครจะมองมันอย่างไร
ศิลปะ มักเป็นอะไรก็ได้ ที่ศิลปิน อยากให้มันเป็น และเรียกมันว่าศิลปะ
คนที่สร้างศิลปะ อาจไม่ใช่ ศิลปินก็ได้
อาจเป็นเด็ก ม. ปลาย ฝึกวาดรูป
อาจเป็นเด็ก ประถม พับกระดาษ
อาจเป็นเด็กสองขวบ แปะมือที่เปื้อนสีลงบนผ้าขาว
หรือ อาจเป็นช้าง ที่ตวัดพู่กันลงบนผ้าใบ ตามที่ควาญช้างฝึกให้
สามารถปฏิเสธได้หรือไม่ว่า นั่นไม่ใช่ ศิลปะ?
หากนำภาพเหล่านี้ ไปวางในพิพิธภัณฑ์ โดยไม่บอกที่มา
ก็อาจมีคนเข้ามาชื่นชม และตื้นตัน ว่า นี่คือ ศิลปะ!
เรียนรู้ แนวคิดอะไรบางอย่าง และอิ่มเอม มันก็ได้
โดยที่หารู้ไม่ว่า กระบวนการสร้างงานนั้น อาจจะว่างเปล่า ไร้ความคิดอันเป็นนามธรรม
ขอบเขตของศิลปะ อยู่ที่ใด?
ดังนั้นเราอาจสรุปได้ว่า
แท้จริงแล้ว
“ศิลปะ”
อาศัยอยู่ภายในจิตใจของมนุษย์ทุกคน
และมันเกิดจากการหล่อหลอม ด้วยแต่ละก้าว บนเส้นทางชีวิตของเรา
(เราคงไม่พูดถึงเรื่องของแนวคิดอะไรต่างๆ เพราะมันคงลึกล้ำ
นอกจากผู้อ่านอาจจะไม่เข้าใจมันแล้ว
เราเอง ก็ไม่เคยเข้าใจมันจริงๆเลย
หากวันหนึ่งศึกษามันมาจนเข้าใจอะไรบางอย่าง
ก็อาจกลับมาเขียนให้อ่านกันก็ได้ แต่ครึ่งนี้ ขอข้ามเรื่อง “แนวคิด” ไปก่อน)
คนเราจะเข้าใจสิ่งใด หรือไม่เข้าใจสิ่งใด
เกิดจากประสบการณ์ของแต่ละคน
ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น
คนจน ย่อมไม่เข้าใจความทุกข์ของคนรวย
ผู้หญิง ไม่เข้าใจผู้ชาย
ว่า ฟุตบอล มันสนุกยังไง แค่ลูกกลมๆ เตะไปเตะมา
เช่นเดียวกัน ผู้ชาย ไม่เข้าใจผู้หญิง
เพราะผู้ชาย มันไม่มีเมนส์ ไม่รู้หรอกว่า มีเมนส์แล้วมันหงุดหงิด ทรมานแค่ไหน
ดังนั้นประสบการณ์คือ สิ่งสำคัญที่ทำให้เรา “เข้าใจ”
ซึ่งการ “เข้าใจ” นี้
มันไม่ได้หมายความว่า จะเข้าใจ ตรงกันกับคนอื่น ตรงกับทุกคน
หรือ ตรงกับศิลปิน ผู้สร้างงาน
เพราะว่า เส้นทางของเรา ต่างกัน
เราจึงตีความต่างกัน แระเราก็เข้าใจมันต่างกัน
ความสำคัญของศิลปะ
อาจไม่ได้อยู่ที่ การสื่อความคิดของศิลปินไปสู่ผู้รับ
แต่อาจอยู่ที่ การที่ผู้รับ รับแล้วเกิดความคิดบางอย่าง
ศิลปินมักพูดว่า
มันไม่สำคัญหรอกว่า ผมคิดอะไร
มันสำคัญที่คุณ คิดอะไร ต่างหาก
เพราะงานที่สร้างออกไป แล้ว ทุกคนเข้าใจความหมายตรงกันทุกคน
ทุกคนเข้าใจได้ง่าย พูดปุ๊บ รู้ปั๊บ
ถ้าเราเรียกสิ่งนั้นว่า Graphic Design อาจเป็นการให้เกียรติ งานนั้นมากกว่า คำว่า ศิลปะ ก็ได้
ดังนั้นการที่เราไปดูงานศิลปะในพิพิธภัณฑ์ หรือในแกลลอรี่
เราไม่จำเป็นต้องไปยืนหน้าผลงาน
กอดอก เพ่งมอง แล้วพยักหน้า
พร้อมกับพึมพำอะไรเบาๆ ก็ได้
การยอมรับว่า กูไม่เข้าใจมึง มันไม่ใช่เรื่องผิดแม้แต่น้อย
เพราะการจะเข้าใจแนวคิดของศิลปิน ผ่านงานศิลปะ
บางทีก็ใช้ความสามารถ และประสบการณ์ค่อนข้างสูง
หรือบางทีต้องเป็นประสบการณ์เฉพาะอีกต่างหาก
สรุปก็คือ
ศิลปะ เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคล
ในขณะที่ศิลปินสร้างผลงานศิลปะ จากแนวคิด จากประสบการณ์ของตัวเอง
มันอาจเป็นบันทึกของเสี้ยวหนึ่งบนทางเดินของเขา
มันอาจเป็นมุมมองที่เขามีต่ออะไรบางอย่าง ในถนนชีวิตที่เขาเดินผ่านมา
มันอาจเป็นการตีความธรรมชาติ ในอารมณ์ และความคิด ณ ขณะสร้างงานของเขา
มันอาจเป็นแค่การทำอะไรเปรอะๆ เลอะๆ ทำอะไรไปมั่วๆ โดยที่ไม่ใช้ความคิด แต่ใช้อารมณ์และหัวใจก็ได้
และในขณะที่เรารับผลงานศิลปะนั้น
เราอาจจะเอาตัวเราเอง เข้าไปตีความ และทำความเข้าใจงานศิลปะนั้นก็ได้
เราอาจจะเอาประสบการณ์ของเรา เป็นเกณฑ์ในการตัดสินความงามก็ได้
เราอาจจะศึกษาชีวิต และแนวคิดของศิลปินผ่านผลงานของเขาก็ได้
หรือ เราอาจจะไม่ต้องเข้าใจ ศิลปะนั้นเลยก็ได้ โดยอาจจะมองเพียงแค่
สวย ไม่สวย หรือ มันทำให้เรา สบายใจ หดหู่ กดดัน หรือ มีอารมณ์ร่วมใดๆก็ตาม
ศิลปะ อาจเป็นตัวกลางที่แย่ที่สุด
ในการส่งสารจากผู้ส่ง ไปสู่ผู้รับ
แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นตัวกลางที่น่าสนใจที่สุด
ที่สามารถสร้างความไม่จำกัดของสารที่ส่งออกไปอย่างไร้ขอบเขตของการตีความ
ขอขอบคุณ อ. จิตติ เกษมกิจวัฒนา มา ณ ที่นี้ด้วยครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น