วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2554

เมื่องานเลี้ยงเลิกรา

เมื่องานเลี้ยงเลิกรา

วันสงกรานต์ปีนี้
เราออกไปเล่นน้ำที่สีลม เหมือนปีก่อนๆ
เนื่องจากเป็นโอกาสไม่กี่ครั้งในหนึ่งปี
ที่จะได้รวมเพื่อน ม.6

ปีนี้ก็นัดกัน
แต่ปรากฏว่าโดนเบี้ยว เลยเหลือแค่ เรากะโจ สองคน
แต่ไหนๆ มาแล้ว ก็มีแต่ต้องไปเท่านั้น

บรรยากาศที่สีลมก็สนุกดี
คนเยอะมหาศาล หนุ่มๆ สาวๆ มารวมตัวกันเป็นหมื่นคน
เดินแออัด ยัดเยียดกันภายในถนนความยาวประมาณ สองถึงสามร้อยเมตร

หากใครเคยไป หรือได้ไป
ก็คงจะเข้าใจบรรยากาศต่างๆ
ถึงอะไรหลายๆอย่างของงานสงกรานต์ที่สีลม
ซึ่งมันไม่ใช่ประเด็นของ blog นี้ที่เราอยากเขียน
ดังนั้น เราจะข้ามมันไป
บอกแค่ว่า มันก็สนุกดี


ส่วนสิ่งที่เห็นจนทำให้เกิดความรู้สึกอยากเขียนมาก
มันเกิดขึ้น เมื่อเวลา ตีห้าของวันต่อมา
พอดีเรามีงานนิดหน่อยที่ทำให้ต้องอยู่ยาวจนถึงตอนเช้าของวันต่อมา
และเราได้มีโอกาสขับรถผ่านถนนสีลม

ภาพที่เห็นทำให้เราอึ้งและช็อกมาก
ใครเคยดูหนังและเห็นภาพเมืองขยะ ซากปรัก เมืองที่ถูกทิ้งร้าง
สามารถเอาภาพนั้น มาสวมทับแทนได้เลย

น้ำท่วม เจิ่งนอง จากร่องรอยของการสาดน้ำ
เทียบเท่ากับตอนฝนตกหนักจนทำให้น้ำท่วม
แต่ที่หนักกว่านั้นคือ มันไม่ใช่น้ำธรรมดา
มันคือ น้ำผสมดินสอพอง
ทำให้มันดูย่ำแย่กว่าเดิมอีกหลายเท่า
ขยะและถุงพลาสติกกองพะเนิน สุมกันเป็นจุดๆบ้าง
แต่ส่วนใหญ่ก็กระจายเกลื่อนกลาดไปตามถนนเป็นสายยาว
มีทั้งถุงเล็ก ถุงน้อย ขวดน้ำ รองเท้า กล่องโฟม
กระจายจนเต็มถนน ราวกับเป็นแหล่งเสื่อมโทรมก็มิปาน
ตามเสาไฟฟ้า ตามตอม่อ หรือของกลางถนน
เต็มไปด้วยตัวอักษรเพื่อการขายของ ที่เขียนจากดินสอพอง

ภาพทั้งหมดเคยเห็นมาครั้งหนึ่งแล้ว
แต่การที่เคยเห็นมาครั้งหนึ่งแล้ว ทำให้ยิ่งตกใจ และเศร้ามากขึ้นไปอีก
เพราะครั้งที่เคยเห็นนั้น
มันคือ ภาพของช่วงหลังวันสงกรานต์ของปีที่แล้ว
มันคือ ภาพซากของสงครามระหว่างชนชั้นที่พวกเราคนไทยเป็นคนก่อนั่นเอง

ภาพของความเสื่อม ภาพของเศษซาก
มันหวนย้อนกลับเข้ามาซ้อนทับกับภาพที่เห็นอีกครั้ง
แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่า จะเป็นความทุกข์แสนสาหัส หรือความสุขแสนสาหัส
ก็สร้างความเสื่อมให้แก่สังคมไม่แพ้กัน


ปีที่แล้ว เราได้เข้าร่วมช่วยกัน ทำความสะอาดพื้นที่ของกรุงเทพ
คนจำนวนมากออกมาช่วยกันทำความสะอาด เคลียร์พื้นที่
แม้ว่าคนที่ออกมาเก็บ อาจจะไม่ได้เป็นคนทำ
แต่เราต่างมีสำนึกร่วมกัน คือ อยากให้บ้านเมืองของเรา สะอาด สงบ เรียบร้อย
หลังจากนั้น มันก็เรียบร้อยขึ้นมาได้จริงๆ
จากการร่วมมือกันของคนจำนวนมาก

แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่อีกแล้ว
เพราะครั้งนี้เราทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพนี้เอง
ที่ช่วยกันทำร้ายบ้านเมืองเราขนาดนี้
เรามาเล่นสนุก เมื่อจบ เราก็แค่กลับบ้านไป
โดยที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยเห็นภาพหลังจากงานเลี้ยงเลิกรา
ว่า มันเละเทะแค่ไหน
เราต่างไม่ได้คาดคิดว่า สิ่งที่เราทำ มันทำร้ายบ้านเมืองขนาดนี้

ไม่เป็นไร
เพราะในวันต่อมา แทบทุกอย่างก็จะเรียบร้อยประมาณหนึ่ง
ขยะจำนวนมากถูกเก็บออกไป ถนนจะเริ่มฟื้นคืนสภาพเดิม
พร้อมที่จะรองรับกิจกรรมการเล่นน้ำในวันต่อมา ซึ่งมีต่อเนื่องถึงสามวัน

เหมือนกันอย่างหนึ่งตรงที่
คนที่ทำส่วนใหญ่ ไม่ได้เป็นคนเก็บ
หลังจากที่เราเล่นกันเสร็จ เราก็เปิดตูดกลับบ้านกันไป
ตอนตีห้า
รถขยะและเจ้าหน้าที่ก็ออกมาทำหน้าที่ ช่วยกันเก็บกวาด
เก็บขยะจำนวนมหาศาล กวาดน้ำที่ท่วมทั้งถนนทิ้ง
ซึ่งเขามีจำนวนคนอยู่ไม่กี่สิบคน
กำลังเช็ดก้นให้คนจำนวนเรือนหมื่น
โดยที่คนจำนวนหมื่นส่วนใหญ่ไม่รู้สึกตัว
รวมถึงเราด้วย

เราเห็นภาพนี้แล้วน้ำตาจะไหล
มันทำให้รู้สึก สำนึกขึ้นมาทันทีว่า นี่กูทำอะไรลงไป
เรากำลังมีความสุขบนความทุกข์แสนสาหัสของคนอื่นใช่หรือไม่
มันทำให้เรารู้สึกไม่อยากมาร่วมกิจกรรมสงกรานต์อีกแล้วในปีต่อๆไป
รู้สึกผิดจนไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งนี้อีก
แม้ว่าไม่มีเราสักคน ยังไงมันก็ยังเป็นแบบนี้อยู่ดี
แต่ความรู้สึกผิด มันกดดันให้เราไม่สามารถสนุกได้อีก หลังจากได้เห็นภาพในคืนนั้น


จริงๆแล้วกิจกรรมขนาดใหญ่แบบนี้
มันเลี่ยงไม่ได้ที่จะก่อให้เกิดความเสียหายที่หนักหน่วงขนาดนี้
ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ถึงขนาดจงเลิกจัดกิจกรรมแบบนี้เสีย
แต่เราคิดว่า หากเราเห็นตัวอย่าง หรือปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว
เราควรจะหาทางป้องกันหรือบรรเทามันลงบ้าง

มันอาจจะลำบากในการแก้ปัญหา
แต่อย่างน้อยหากเรามีจิตสำนึกสาธารณะอยู่
ขยะที่เรานำมา ที่เราใช้ เราควรจะหาที่ทิ้งให้เป็นที่เป็นทาง
มิใช่โยนมันลงไปตามทางที่เราเดินผ่าน
ในครั้งหน้าเราอาจจะมีจุดรับขยะกระจายตามจุดต่างๆ เพื่อให้สะดวกต่อการเก็บและทิ้ง
ขยะส่วนใหญ่ ก็เป็นถุงพลาสติก ขวด และกระป๋องดังนั้นมันไม่ลำบากที่จะเก็บไว้กับตัว
แล้วจึงนำไปทิ้งที่จุดรับขยะ
มันอาจจะแก้ปัญหาไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
ปัญหาเรื่องน้ำท่วม อาจจะแก้ไม่ได้ เพราะมันเป็นผลจากการนำน้ำจำนวนมากไปถมที่
แต่อย่างน้อยมันก็จะช่วยบรรเทาปัญหาด้านขยะให้เบาบางลง

ซึ่งทางที่เราเสนอไปนี้ มันก็เป็นแค่ทางออกที่คิดแบบตื้นๆ
มันอาจจะเป็นไปได้ยากในความเป็นจริง
เพราะระบบการจัดการ ในหลายๆอย่างมันไม่เอื้ออำนวยนัก
ในเมื่อคนไทยยังชอบแก้ปัญหาที่ปลายเหตุแบบ เกิดก่อนกูค่อยแก้
ดังนั้นปัญหาเหล่านี้มันก็ป้องกันได้ยาก
เพราะต้องเตรียมการผ่านระบบหลายขั้นหลายตอน
จนไม่มีใครสนใจจะแก้ปัญหาเล็กๆน้อยๆเหล่านี้
สู้ปล่อยให้มันกลายเป็นปัญหาของเจ้าหน้าที่เก็บขยะไปเลยดีกว่า
เพราะยังไงมันก็ยังไม่ได้เป็นข่าวที่กลายเป็นกระแสสังคมขึ้นมา
เอาไว้มันกลายเป็นกระแสสังคมเมื่อไหร่ ค่อยมาหาทางรับมือมันก็ไม่สาย(เหรอ?)


อย่างไรก็ตาม
ไม่ว่าปัญหาทางด้านระบบจะแก้ยากแก้เย็นแค่ไหน
แต่อย่างน้อยการปลูกจิตสาธารณะให้กับตัวเอง เพื่อลดภาระที่จะเกิดแก่สังคมและผู้อื่น
ก็น่าจะเป็นทางแก้ที่เริ่มได้ง่ายและเร็วที่สุด

เราเชื่อว่า
หากเราเริ่มที่ตัวเราก่อน แล้วอะไรมันจะดีตามมาเอง

ภาพบรรยากาศ
Your heaven is my** hell.







วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554

ศิลปะ จงสถิตย์อยู่กับท่าน

ศิลปะ จงสถิตย์อยู่กับท่าน

เราทุกคนมักเปรียบการใช้ชีวิต เป็นเส้นทางที่เราเดิน
เราเปรียบเป้าหมายของเรา เป็นปลายทาง

แต่อย่างที่ทุกคนต่างรู้กัน ว่า
สิ่งที่สอนให้เราเติบโตขึ้น ไม่ใช่ปลายทาง
แต่มันคือ ระหว่างทาง ต่างหาก


ระหว่างทางที่เรากำลังเดินไปนั้น
เรามักได้ประสบพบเจอกับสิ่งต่างๆมากมาย หลากหลาย
ทั้งสิ่งกีดขวาง ที่เรียกว่า อุปสรรค และปัญหา
ทั้งคนรอบข้าง ที่อาจเรียกว่า ผู้ร่วมทาง
หรือ สิ่งแวดล้อม ประสบการณ์ที่อยู่สองข้างทาง

สิ่งเหล่านี้ทำให้เส้นทางของเรามีคุณค่า
และทำให้ก้าวแต่ละก้าวของเรา มั่นคงหรือสั่นคลอน

การที่เราเรียนรู้จากเส้นทางที่เราเดินผ่านมา
แล้วเราก็ตัดสินใจว่า เราจะก้าวต่อไปอย่างมั่นใจ
หรือล้มเลิก แล้วเปลี่ยนเส้นทาง
มันไม่มีทางไหนที่ถูกหรือผิด ขึ้นอยู่กับการเลือกของเราเอง

ถ้าทางที่เราเลือกที่จะเดินไปให้สุด
วันหนึ่งเราเกิดรู้สึกว่า มันไม่ใช่เรา เราไม่อยากเดินแล้ว
ก็ไปเดินทางอื่นก็ได้

เปลี่ยนเส้นทาง ไม่ใช่สิ่งไม่ดี
การถอยหลัง ก็อาจไม่ใช่สิ่งไม่ดี
แต่สิ่งที่ไม่ดี คือ การไม่ขยับไปไหนต่างหาก


เมื่อเราเดินมาถึงจุดๆนี้ ทำให้เราเริ่มเข้าใจอะไรๆหลายๆอย่างมากขึ้น
สิ่งหนึ่งที่เราเริ่มรู้สึกตัว และ มีใครคนหนึ่งย้ำกับเรา
ทำให้เรามั่นใจในทางที่เราตั้งใจจะเดินมากขึ้น

สิ่งหนึ่งที่เราเริ่มเรียนรู้ คือ

ศิลปะ


ศิลปะ มีมุมมองที่กว้างมากๆ
แล้วแต่ว่าใครจะมองมันอย่างไร
ศิลปะ มักเป็นอะไรก็ได้ ที่ศิลปิน อยากให้มันเป็น และเรียกมันว่าศิลปะ
คนที่สร้างศิลปะ อาจไม่ใช่ ศิลปินก็ได้
อาจเป็นเด็ก ม. ปลาย ฝึกวาดรูป
อาจเป็นเด็ก ประถม พับกระดาษ
อาจเป็นเด็กสองขวบ แปะมือที่เปื้อนสีลงบนผ้าขาว
หรือ อาจเป็นช้าง ที่ตวัดพู่กันลงบนผ้าใบ ตามที่ควาญช้างฝึกให้
สามารถปฏิเสธได้หรือไม่ว่า นั่นไม่ใช่ ศิลปะ?

หากนำภาพเหล่านี้ ไปวางในพิพิธภัณฑ์ โดยไม่บอกที่มา
ก็อาจมีคนเข้ามาชื่นชม และตื้นตัน ว่า นี่คือ ศิลปะ!
เรียนรู้ แนวคิดอะไรบางอย่าง และอิ่มเอม มันก็ได้
โดยที่หารู้ไม่ว่า กระบวนการสร้างงานนั้น อาจจะว่างเปล่า ไร้ความคิดอันเป็นนามธรรม

ขอบเขตของศิลปะ อยู่ที่ใด?



ดังนั้นเราอาจสรุปได้ว่า
แท้จริงแล้ว

ศิลปะ

อาศัยอยู่ภายในจิตใจของมนุษย์ทุกคน
และมันเกิดจากการหล่อหลอม ด้วยแต่ละก้าว บนเส้นทางชีวิตของเรา

(เราคงไม่พูดถึงเรื่องของแนวคิดอะไรต่างๆ เพราะมันคงลึกล้ำ
นอกจากผู้อ่านอาจจะไม่เข้าใจมันแล้ว
เราเอง ก็ไม่เคยเข้าใจมันจริงๆเลย
หากวันหนึ่งศึกษามันมาจนเข้าใจอะไรบางอย่าง
ก็อาจกลับมาเขียนให้อ่านกันก็ได้ แต่ครึ่งนี้ ขอข้ามเรื่อง แนวคิด ไปก่อน)

คนเราจะเข้าใจสิ่งใด หรือไม่เข้าใจสิ่งใด
เกิดจากประสบการณ์ของแต่ละคน
ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น
คนจน ย่อมไม่เข้าใจความทุกข์ของคนรวย
ผู้หญิง ไม่เข้าใจผู้ชาย
ว่า ฟุตบอล มันสนุกยังไง แค่ลูกกลมๆ เตะไปเตะมา
เช่นเดียวกัน ผู้ชาย ไม่เข้าใจผู้หญิง
เพราะผู้ชาย มันไม่มีเมนส์ ไม่รู้หรอกว่า มีเมนส์แล้วมันหงุดหงิด ทรมานแค่ไหน

ดังนั้นประสบการณ์คือ สิ่งสำคัญที่ทำให้เรา เข้าใจ

ซึ่งการ เข้าใจนี้
มันไม่ได้หมายความว่า จะเข้าใจ ตรงกันกับคนอื่น ตรงกับทุกคน
หรือ ตรงกับศิลปิน ผู้สร้างงาน

เพราะว่า เส้นทางของเรา ต่างกัน
เราจึงตีความต่างกัน แระเราก็เข้าใจมันต่างกัน

ความสำคัญของศิลปะ
อาจไม่ได้อยู่ที่ การสื่อความคิดของศิลปินไปสู่ผู้รับ
แต่อาจอยู่ที่ การที่ผู้รับ รับแล้วเกิดความคิดบางอย่าง

ศิลปินมักพูดว่า
มันไม่สำคัญหรอกว่า ผมคิดอะไร
มันสำคัญที่คุณ คิดอะไร ต่างหาก

เพราะงานที่สร้างออกไป แล้ว ทุกคนเข้าใจความหมายตรงกันทุกคน
ทุกคนเข้าใจได้ง่าย พูดปุ๊บ รู้ปั๊บ
ถ้าเราเรียกสิ่งนั้นว่า Graphic Design อาจเป็นการให้เกียรติ งานนั้นมากกว่า คำว่า ศิลปะ ก็ได้

ดังนั้นการที่เราไปดูงานศิลปะในพิพิธภัณฑ์ หรือในแกลลอรี่
เราไม่จำเป็นต้องไปยืนหน้าผลงาน
กอดอก เพ่งมอง แล้วพยักหน้า
พร้อมกับพึมพำอะไรเบาๆ ก็ได้

การยอมรับว่า กูไม่เข้าใจมึง มันไม่ใช่เรื่องผิดแม้แต่น้อย
เพราะการจะเข้าใจแนวคิดของศิลปิน ผ่านงานศิลปะ
บางทีก็ใช้ความสามารถ และประสบการณ์ค่อนข้างสูง
หรือบางทีต้องเป็นประสบการณ์เฉพาะอีกต่างหาก


สรุปก็คือ
ศิลปะ เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคล
ในขณะที่ศิลปินสร้างผลงานศิลปะ จากแนวคิด จากประสบการณ์ของตัวเอง
มันอาจเป็นบันทึกของเสี้ยวหนึ่งบนทางเดินของเขา
มันอาจเป็นมุมมองที่เขามีต่ออะไรบางอย่าง ในถนนชีวิตที่เขาเดินผ่านมา
มันอาจเป็นการตีความธรรมชาติ ในอารมณ์ และความคิด ณ ขณะสร้างงานของเขา
มันอาจเป็นแค่การทำอะไรเปรอะๆ เลอะๆ ทำอะไรไปมั่วๆ โดยที่ไม่ใช้ความคิด แต่ใช้อารมณ์และหัวใจก็ได้

และในขณะที่เรารับผลงานศิลปะนั้น
เราอาจจะเอาตัวเราเอง เข้าไปตีความ และทำความเข้าใจงานศิลปะนั้นก็ได้
เราอาจจะเอาประสบการณ์ของเรา เป็นเกณฑ์ในการตัดสินความงามก็ได้
เราอาจจะศึกษาชีวิต และแนวคิดของศิลปินผ่านผลงานของเขาก็ได้
หรือ เราอาจจะไม่ต้องเข้าใจ ศิลปะนั้นเลยก็ได้ โดยอาจจะมองเพียงแค่
สวย ไม่สวย หรือ มันทำให้เรา สบายใจ หดหู่ กดดัน หรือ มีอารมณ์ร่วมใดๆก็ตาม

ศิลปะ อาจเป็นตัวกลางที่แย่ที่สุด
ในการส่งสารจากผู้ส่ง ไปสู่ผู้รับ
แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นตัวกลางที่น่าสนใจที่สุด
ที่สามารถสร้างความไม่จำกัดของสารที่ส่งออกไปอย่างไร้ขอบเขตของการตีความ



ขอขอบคุณ อ. จิตติ เกษมกิจวัฒนา มา ณ ที่นี้ด้วยครับ