เมื่องานเลี้ยงเลิกรา
วันสงกรานต์ปีนี้
เราออกไปเล่นน้ำที่สีลม เหมือนปีก่อนๆ
เนื่องจากเป็นโอกาสไม่กี่ครั้งในหนึ่งปี
ที่จะได้รวมเพื่อน ม.6
ปีนี้ก็นัดกัน
แต่ปรากฏว่าโดนเบี้ยว เลยเหลือแค่ เรากะโจ สองคน
แต่ไหนๆ มาแล้ว ก็มีแต่ต้องไปเท่านั้น
บรรยากาศที่สีลมก็สนุกดี
คนเยอะมหาศาล หนุ่มๆ สาวๆ มารวมตัวกันเป็นหมื่นคน
เดินแออัด ยัดเยียดกันภายในถนนความยาวประมาณ สองถึงสามร้อยเมตร
หากใครเคยไป หรือได้ไป
ก็คงจะเข้าใจบรรยากาศต่างๆ
ถึงอะไรหลายๆอย่างของงานสงกรานต์ที่สีลม
ซึ่งมันไม่ใช่ประเด็นของ blog นี้ที่เราอยากเขียน
ดังนั้น เราจะข้ามมันไป
บอกแค่ว่า มันก็สนุกดี
ส่วนสิ่งที่เห็นจนทำให้เกิดความรู้สึกอยากเขียนมาก
มันเกิดขึ้น เมื่อเวลา ตีห้าของวันต่อมา
พอดีเรามีงานนิดหน่อยที่ทำให้ต้องอยู่ยาวจนถึงตอนเช้าของวันต่อมา
และเราได้มีโอกาสขับรถผ่านถนนสีลม
ภาพที่เห็นทำให้เราอึ้งและช็อกมาก
ใครเคยดูหนังและเห็นภาพเมืองขยะ ซากปรัก เมืองที่ถูกทิ้งร้าง
สามารถเอาภาพนั้น มาสวมทับแทนได้เลย
น้ำท่วม เจิ่งนอง จากร่องรอยของการสาดน้ำ
เทียบเท่ากับตอนฝนตกหนักจนทำให้น้ำท่วม
แต่ที่หนักกว่านั้นคือ มันไม่ใช่น้ำธรรมดา
มันคือ น้ำผสมดินสอพอง
ทำให้มันดูย่ำแย่กว่าเดิมอีกหลายเท่า
ขยะและถุงพลาสติกกองพะเนิน สุมกันเป็นจุดๆบ้าง
แต่ส่วนใหญ่ก็กระจายเกลื่อนกลาดไปตามถนนเป็นสายยาว
มีทั้งถุงเล็ก ถุงน้อย ขวดน้ำ รองเท้า กล่องโฟม
กระจายจนเต็มถนน ราวกับเป็นแหล่งเสื่อมโทรมก็มิปาน
ตามเสาไฟฟ้า ตามตอม่อ หรือของกลางถนน
เต็มไปด้วยตัวอักษรเพื่อการขายของ ที่เขียนจากดินสอพอง
ภาพทั้งหมดเคยเห็นมาครั้งหนึ่งแล้ว
แต่การที่เคยเห็นมาครั้งหนึ่งแล้ว ทำให้ยิ่งตกใจ และเศร้ามากขึ้นไปอีก
เพราะครั้งที่เคยเห็นนั้น
มันคือ ภาพของช่วงหลังวันสงกรานต์ของปีที่แล้ว
มันคือ ภาพซากของสงครามระหว่างชนชั้นที่พวกเราคนไทยเป็นคนก่อนั่นเอง
ภาพของความเสื่อม ภาพของเศษซาก
มันหวนย้อนกลับเข้ามาซ้อนทับกับภาพที่เห็นอีกครั้ง
แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่า จะเป็นความทุกข์แสนสาหัส หรือความสุขแสนสาหัส
ก็สร้างความเสื่อมให้แก่สังคมไม่แพ้กัน
ปีที่แล้ว เราได้เข้าร่วมช่วยกัน ทำความสะอาดพื้นที่ของกรุงเทพ
คนจำนวนมากออกมาช่วยกันทำความสะอาด เคลียร์พื้นที่
แม้ว่าคนที่ออกมาเก็บ อาจจะไม่ได้เป็นคนทำ
แต่เราต่างมีสำนึกร่วมกัน คือ อยากให้บ้านเมืองของเรา สะอาด สงบ เรียบร้อย
หลังจากนั้น มันก็เรียบร้อยขึ้นมาได้จริงๆ
จากการร่วมมือกันของคนจำนวนมาก
แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่อีกแล้ว
เพราะครั้งนี้เราทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพนี้เอง
ที่ช่วยกันทำร้ายบ้านเมืองเราขนาดนี้
เรามาเล่นสนุก เมื่อจบ เราก็แค่กลับบ้านไป
โดยที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยเห็นภาพหลังจากงานเลี้ยงเลิกรา
ว่า มันเละเทะแค่ไหน
เราต่างไม่ได้คาดคิดว่า สิ่งที่เราทำ มันทำร้ายบ้านเมืองขนาดนี้
ไม่เป็นไร
เพราะในวันต่อมา แทบทุกอย่างก็จะเรียบร้อยประมาณหนึ่ง
ขยะจำนวนมากถูกเก็บออกไป ถนนจะเริ่มฟื้นคืนสภาพเดิม
พร้อมที่จะรองรับกิจกรรมการเล่นน้ำในวันต่อมา ซึ่งมีต่อเนื่องถึงสามวัน
เหมือนกันอย่างหนึ่งตรงที่
คนที่ทำส่วนใหญ่ ไม่ได้เป็นคนเก็บ
หลังจากที่เราเล่นกันเสร็จ เราก็เปิดตูดกลับบ้านกันไป
ตอนตีห้า
รถขยะและเจ้าหน้าที่ก็ออกมาทำหน้าที่ ช่วยกันเก็บกวาด
เก็บขยะจำนวนมหาศาล กวาดน้ำที่ท่วมทั้งถนนทิ้ง
ซึ่งเขามีจำนวนคนอยู่ไม่กี่สิบคน
กำลังเช็ดก้นให้คนจำนวนเรือนหมื่น
โดยที่คนจำนวนหมื่นส่วนใหญ่ไม่รู้สึกตัว
รวมถึงเราด้วย
เราเห็นภาพนี้แล้วน้ำตาจะไหล
มันทำให้รู้สึก สำนึกขึ้นมาทันทีว่า นี่กูทำอะไรลงไป
เรากำลังมีความสุขบนความทุกข์แสนสาหัสของคนอื่นใช่หรือไม่
มันทำให้เรารู้สึกไม่อยากมาร่วมกิจกรรมสงกรานต์อีกแล้วในปีต่อๆไป
รู้สึกผิดจนไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งนี้อีก
แม้ว่าไม่มีเราสักคน ยังไงมันก็ยังเป็นแบบนี้อยู่ดี
แต่ความรู้สึกผิด มันกดดันให้เราไม่สามารถสนุกได้อีก หลังจากได้เห็นภาพในคืนนั้น
จริงๆแล้วกิจกรรมขนาดใหญ่แบบนี้
มันเลี่ยงไม่ได้ที่จะก่อให้เกิดความเสียหายที่หนักหน่วงขนาดนี้
ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ถึงขนาดจงเลิกจัดกิจกรรมแบบนี้เสีย
แต่เราคิดว่า หากเราเห็นตัวอย่าง หรือปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว
เราควรจะหาทางป้องกันหรือบรรเทามันลงบ้าง
มันอาจจะลำบากในการแก้ปัญหา
แต่อย่างน้อยหากเรามีจิตสำนึกสาธารณะอยู่
ขยะที่เรานำมา ที่เราใช้ เราควรจะหาที่ทิ้งให้เป็นที่เป็นทาง
มิใช่โยนมันลงไปตามทางที่เราเดินผ่าน
ในครั้งหน้าเราอาจจะมีจุดรับขยะกระจายตามจุดต่างๆ เพื่อให้สะดวกต่อการเก็บและทิ้ง
ขยะส่วนใหญ่ ก็เป็นถุงพลาสติก ขวด และกระป๋องดังนั้นมันไม่ลำบากที่จะเก็บไว้กับตัว
แล้วจึงนำไปทิ้งที่จุดรับขยะ
มันอาจจะแก้ปัญหาไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
ปัญหาเรื่องน้ำท่วม อาจจะแก้ไม่ได้ เพราะมันเป็นผลจากการนำน้ำจำนวนมากไปถมที่
แต่อย่างน้อยมันก็จะช่วยบรรเทาปัญหาด้านขยะให้เบาบางลง
ซึ่งทางที่เราเสนอไปนี้ มันก็เป็นแค่ทางออกที่คิดแบบตื้นๆ
มันอาจจะเป็นไปได้ยากในความเป็นจริง
เพราะระบบการจัดการ ในหลายๆอย่างมันไม่เอื้ออำนวยนัก
ในเมื่อคนไทยยังชอบแก้ปัญหาที่ปลายเหตุแบบ เกิดก่อนกูค่อยแก้
ดังนั้นปัญหาเหล่านี้มันก็ป้องกันได้ยาก
เพราะต้องเตรียมการผ่านระบบหลายขั้นหลายตอน
จนไม่มีใครสนใจจะแก้ปัญหาเล็กๆน้อยๆเหล่านี้
สู้ปล่อยให้มันกลายเป็นปัญหาของเจ้าหน้าที่เก็บขยะไปเลยดีกว่า
เพราะยังไงมันก็ยังไม่ได้เป็นข่าวที่กลายเป็นกระแสสังคมขึ้นมา
เอาไว้มันกลายเป็นกระแสสังคมเมื่อไหร่ ค่อยมาหาทางรับมือมันก็ไม่สาย(เหรอ?)
อย่างไรก็ตาม
ไม่ว่าปัญหาทางด้านระบบจะแก้ยากแก้เย็นแค่ไหน
แต่อย่างน้อยการปลูกจิตสาธารณะให้กับตัวเอง เพื่อลดภาระที่จะเกิดแก่สังคมและผู้อื่น
ก็น่าจะเป็นทางแก้ที่เริ่มได้ง่ายและเร็วที่สุด
เราเชื่อว่า
หากเราเริ่มที่ตัวเราก่อน แล้วอะไรมันจะดีตามมาเอง
ภาพบรรยากาศ
Your heaven is my** hell.