วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

คนดี ไม่ตกน้ำก็ไหล ตกไฟไหม้เกรียม

คนดี ไม่ตกน้ำก็ไหล ตกไฟไหม้เกรียม

ในโลกนี้ไม่มีอะไรถูกใจไปซะทุกคน
ไม่ว่า คุณจะทำตัวดีเลิศ ประเสริฐเพียงใด
คุณจะเป็นพระผู้โปรด ทำตัวไร้จุดด่างพร้อยเช่นไร
คุณก็ไม่มีทางบริสุทธิ์ผุดผ่อง
เมื่อคุณกลายเป็นบุคคลอันมีชื่อเสียง

สังคมไทยเป็นสังคมที่มีมาตรฐานทางจริยธรรมสูง
มีตัวชี้วัดทางจิตใจที่งดงาม
คนที่จะเป็นคนดีในสายตาของสังคมไทยได้นั้น
ต้องมีคุณสมบัติ เช่นนี้

1.       เป็นคนดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น จิตใจดีงาม บริจาค ลงทุนลงแรงช่วยเหลือผู้อื่น
2.       ต้องไม่สร้างภาพ ทำด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์ ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน
3.       ถ้าจะออกสื่อ ต้องไม่ออกเอง ต้องรอให้สื่อ ไปพบ แล้วถ่ายภาพจังหวะที่บ้านที่สุด

การที่คุณจะเป็นดี แบบบริสุทธิ์นั้น คุณจะขาดคุณสมบัติข้อใดในนี้ไม่ได้เลย
หากคุณเป็นคนดี ตามคุณสมบัติข้อที่หนึ่ง
แต่คุณเจอนักข่าว ทำข่าวให้คุณ คุณจะโด่งดังผ่านข่าวช่วงเย็น
แต่คุณจะเจอข้อหาสร้างภาพทันที
จากนั้นก็จะมีคนจำนวนหนึ่ง ที่ด่าคุณว่า
กูรู้ทันมึงหรอกน่า มึงอยากเด่น อยากดังใช่ไหมล่ะ

หรือ ถ้ามีคนมาถามว่า ทำไมคุณต้องช่วยเหลือผู้อื่น
คำตอบเดียวที่คุณตอบได้ก็คือ
ผมช่วยเพราะผมอยากช่วยครับ ผมไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน
นี่คือ คำตอบในอุดมคติ

หากใครดันเสร่อตอบว่า เพราะผมอยากให้คนจำผมได้ครับ
หรือ ผมอยากให้ทุกคนรักผมครับ
หรือ ผมอยากได้คะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้าครับ
จังหวะนั้น คุณจะกลายเป็นตัวโกงทันที
ไม่ว่า สิ่งที่คุณทำมันจะดีเลิศเพียงใด


และนี่คือ ความดัดจริต และมาตรฐานทางคุณธรรมที่สูงส่งของสังคมไทย
หรือจริงๆ เขาจับคุณสมบัติแบบนี้ ยัดใส่ลงในคำว่า สลิ่มด้วย
เพราะเขาจำกัดความว่า นี่คือ หนึ่งในความดัดจริตของชนชั้นกลางในสังคมไทย


เอาจริง เราก็ไม่เห็นด้วยกับการสร้างมาตรฐานแบบนี้
มันเป็นการสร้างมาตรฐานที่ตั้งอยู่ในอุดมคติมากเกินไป
อีกทั้งมี bias เข้ามาครอบงำได้ง่าย

เพราะเราจะไม่ได้ตัดสินคนที่การกระทำ
แต่เราจะตัดสินเขา ด้วยอคติของเรา

เราตัดสินด้วยอคติอย่างไร?
เนื่องจากว่า เราไม่มีทางรู้ว่า เขาที่ลงมือกระทำนั้น คิดสิ่งใดอยู่
เขาหวังดีจริง หรือต้องการสิ่งตอบแทน เราไม่อาจรู้ได้
เราก็เอาอคติส่วนตัว เข้าไปคิดแทนเขา

เช่น ถ้าเขาเป็นนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม เราก็มักจะคิดว่า นี่คือการสร้างภาพ
แต่ถ้าเขาเป็นนักการเมืองฝ่ายที่เราสนับสนุน เขาก็จะกลายเป็นคนดีขึ้นมาทันที
หรือถ้าเขาเป็นคน หรือ องค์กร หรือใครก็ตาม ที่เรารู้สึกไม่ชอบ
ต่อให้ทำดีให้ตาย มันก็เท่ากับการ สร้างภาพ และไม่จริงใจ อยู่ดี


คนในสังคมเรานี่แปลก
ต่อให้คนนั้นช่วยเหลือสังคมเพียงใด ถ้าเขาออกสื่อ สิ่งนั้นก็จะกลายเป็นสร้างภาพ
แต่ถ้าเขาไม่ออกสื่อ เราไม่ได้รับข่าวคราวของเขา
ไม่ว่า ใครคนนั้นจะทำอะไรอยู่ที่ไหน
เราก็จะเอาอคติของเรา สร้างภาพของเขาในใจเราเรียบร้อยโรงเรียนไทย

ถ้าเราชอบเขา เราก็จะคิดว่า
ตอนนี้เขาคงกำลังช่วยใครอยู่ หรือกำลังทำงานหนักอยู่
แต่ถ้าเราไม่ชอบเขา เราจะคิดว่า
ตอนนี้พวกมันคงจะนอนตีพุง สุขสบายอยู่ที่ไหนสักที่ โดยไม่คิดจะช่วยเหลือใครเลยล่ะสิ

ประเด็นคือ นี่คือ อคติ? ความจริง? หรือ การหลอกตัวเอง?


ถ้ามองในอีกมุมหนึ่ง
คนที่ช่วยเหลือผู้อื่น หรือทำดี แล้วไม่หวังสิ่งตอบแทนนั้น
มันมีสักกี่คน
คนเราทำดีต่อกัน มักจะหวังอะไรสักอย่างอยู่เสมอ
ไม่ว่าในเชิงรูปธรรม หรือนามธรรมก็ตาม
บางคนอาจหวังเงิน บางคนอาจหวังค่าตอบแทนเล็กๆน้อยๆ
บางคนอาจหวังชื่อเสียง หวังหน้าตา หวังเกียรติยศ
ถ้าลงไปในเชิงนามธรรมมากกว่านั้น
คนทุกคน หวังความรักจากผู้อื่น
คนทุกคน หวังที่จะมีที่ยืนในสังคม
เราช่วยคุณ เพราะว่าเรารักคุณ ในวงเล็บคือ เพราะเราอยากให้คุณรักเรา
เราช่วยเพื่อน เพราะเราหวังว่า เราจะสนิทกับเขามากขึ้น
เขาจะอยากอยู่กับเรามากขึ้น
ต่อให้เป็นพ่อแม่ ที่บอกว่า เป็นความรักอันบริสุทธิ์
ก็เพราะเขารักเรา และอยากให้เรารักเขา
อยากให้เราเติบโต ตามที่ใจของเขาคาดหวัง

ไม่ใช่หรือ?


ดังนั้นทำไมการช่วยเหลือคนอื่น โดยหวังสิ่งตอบแทน
ถึงกลายเป็นสิ่งไม่ดีไปได้
ทำดี ก็คือทำดี
เจตนาก็ส่วนเจตนา
ต่อให้เขาหวังว่า ทำดีวันนี้ เพื่อคะแนนนิยม เพื่อหวังยอดขาย เพื่อหวังหน้าตา
แล้วไง?

ในช่วงนี้นายกปู อภิสิทธิ์ รวมถึงชูวิทย์ที่ออกช่วยเหลือผู้ประสบภัย
แต่ก็ถูกวิจารณ์ด้วยสิ่งต่างๆ โดยใช้อคติส่วนตัวมาบดบัง
แล้วมันไปคล้องกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาพอดี จึงอยากยกเหตุการณ์นั้นมาเป็นตัวอย่าง

ขอให้อ่าน link นี้
และ link นี้

คำพูดที่โดนใจที่สุด
ขอเพียงความช่วยเหลือ ส่งถึงมือราษฎรก็เพียงพอแล้ว
หากเขาทำดี ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ไม่ว่าด้วยเจตนาใด หากผลของการกระทำ
ได้ส่งผลให้สังคมได้รับประโยชน์ มันก็น่าจะเป็นสิ่งทีดี

แต่ถ้าหากเรามีหลักฐานจริงๆว่า ที่เขาทำ เขาทำได้ไม่ดี หรือหวังคอรัปชั่น จากภาพที่เขาสร้าง
ถึงตอนนั้นก็จงเอาหลักฐานออกมาเปิดเผย และวิจารณ์ รวมถึงด่ามันให้ดิ้นไปเลยเถอะ