เหตุเพราะมีสิ่งนี้ จึงมีผลเป็นสิ่งนี้
พระพุทธองค์ ตรัสรู้ สิ่งใด?
ชาวพุทธมากกว่า เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ จะตอบว่า
“อริยสัจ 4”
ซึ่งประกอบด้วย ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค รวม 4 ประการ
เนื้อความโดยย่อ คือ การเข้าใจทุกข์ ต้นเหตุ และหนทางดับทุกข์
และที่ทุกคนเข้าใจตรงกันแบบนี้
แน่นอนว่า เพราะ สิ่งนี้สอนในโรงเรียน
แต่แท้จริงแล้ว ถ้าจะพูดให้ลงลึกถึงรายละเอียด
พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้
“อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปปาโท”
หลายคนคงไม่เคยได้ยินมาก่อน
ทั้งๆที่สิ่งนี้เป็นแก่นที่สุดของธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสรู้
เหตุผลไม่ใช่อะไร
มันเป็นเพราะ
มันยากมาก เกินกว่าที่เด็กจะเข้าใจได้!
แม้แต่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี!
ดังนั้นใน blog นี้
เราจึงพยายามที่จะสรุปภาพรวมของหลัก อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปปาโท
เพื่อให้มองเห็นภาพ และเพื่อให้คนที่สนใจ ได้มุ่งหน้าไปค้นหา ศึกษาต่อไป
โดยที่ตัวเราเองก็ไม่เข้าใจถ่องแท้ แต่จะพยายามอย่างที่สุด
หากผิดพลาดประการใด ก็ท้วงติง และช่วยแก้ไขให้ด้วย
หากจะพูดถึงธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสรู้
อริยสัจ 4 ก็เปรียบได้กับเนื้อเรื่องย่อของหนังสือ ที่เป็นความจริง แต่ถูกย่นยอลงมาอย่างที่สุด
ในขณะที่ อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปปาโท เป็นเนื้อใน ที่ถูกขยายความให้เห็นถึงรายละเอียด
ใจความของ อริยสัจ 4
สามารถกล่าวสรุปได้ว่า
เมื่อเกิดทุกข์ เราก็จะค้นหาเหตุแห่งทุกข์ ซึ่งคือตัณหา และกำจัดตัณหานั้นทิ้งเสีย
โดยที่ คำว่า ตัณหา เป็นการย่นย่อของทุกอย่างลงในคำหนึ่งคำ
เหมือนจับเอาจักรวาล มาบีบรัดให้ลงเหลือขนาดเท่าเม็ดถั่ว
ส่วนใจความสำคัญของ อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปปาโท
คือ การเข้าใจหลักของ เหตุ-ผล
ซึ่งเหตุ-ผล ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึง เหตุผล แต่หมายถึง ต้นเหตุ-ผลลัพธ์
เมื่อมีสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิด และเมื่อสิ่งนี้เกิด ก็จะมีอีกสิ่งหนึ่งเกิดต่อเนื่องกัน
พูดให้เข้าใจง่ายที่สุดคือ
เพราะมีหนึ่ง ถึงเกิดสอง เพราะมีสอง ถึงเกิดสาม เป็นลูกโซ่ต่อเนื่องกัน
ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเอง โดยไม่มีปัจจัยก่อให้เกิด
และนี่คือสิ่งที่พระพุทธองค์ ตรัสรู้
ในส่วนของ อิทัปปจยตา
จะอธิบายถึง หลัก เหตุ-ผล ในภาพกว้าง ที่เป็นสรรพสิ่งทั้งหมด และมุ่งขจัดความยึดมั่นในทวิลักษณ์
สามารถหมายถึง ธรรมชาติที่เราพบเห็นโดยทั่วไป และหมายถึงธรรมชาติที่เราไม่อาจสัมผัสได้
ยกตัวอย่าง ตั้งแต่เรื่องง่าย ไปถึงเรื่องยาก
เช่น
อาจหมายถึงปัจจัยการเกิดของสิ่งที่มีชีวิต และไม่มีชีวิต เหตุใดจึงมีหิน เหตุใดจึงมีสิ่งมีชีวิต
เพราะมีปัจจัยก่อให้เกิด
อาจหมายถึงปัจจัยของการที่ใครคนหนึ่งทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เนื่องจากมีเหตุปัจจัยก่อให้เกิด
อาจหมายถึงปัจจัยของกรรม เช่น กฎแห่งกรรม หรือแม้แต่การบังคับใช้กฎหมาย
เพราะคนทำสิ่งหนึ่ง จึงได้รับผลแบบหนึ่ง
อาจหมายถึงปัจจัยของการเกิดธรรมชาติ การเกิดจักรวาล เนื่องจากมีปัจจัยก่อให้เกิด
และในที่สุด ก็หมายถึง การปรุงแต่งของจิต ว่าเหตุใดจึงรู้สึก มีอารมณ์ มีความสุข ทุกข์
และโดยใจความสำคัญ ถ้าหากเราเข้าใจ ถึงเหตุ-ผล
เราก็จะเข้าใจว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง มันไม่ได้เกิดมาโดยไม่มีเหตุผล และเมื่อเราเข้าใจ
เราก็จะไม่ยึดมั่นในสิ่งที่เราพบเห็น หรือประสบ เพราะมันเป็นเช่นนั้น เป็นกระแสที่ไหลเวียนต่อเนื่อง
เราก็จะไม่เข้าไปยึดมั่นอยู่กับ ความดี-ความชั่ว บุญ-บาป ได้-เสีย สุข-ทุกข์
เพราะมันเป็นเพียงสิ่งที่จิตของเราปรุงแต่งขึ้น และเข้าไปยึดติดกับสิ่งนั้น
ในขณะที่อิทัปปจยตา เป็นการอธิบายหลัก เหตุ-ผล ในภาพรวม
หลักปฏิจจสมุปบาท คือ การอธิบายหลัก เหตุ-ผล ที่เกิดภายในจิต
หรือ สรุปคร่าวๆคือ การทำงานของจิต ที่ทำให้เกิดสุข ทุกข์ และการสร้างอุปาทาน
ซึ่งในหลักปฏิจจสมุปบาท จะอธิบายการปรุงแต่งของจิต ที่เกิดเป็นขั้นเป็นตอน
และสุดท้ายจะได้ส่วนที่เป็นผลลัพธ์ คือ ความทุกข์
ปัจจัยการเกิดทุกข์นี้ แบ่งได้ สิบเอ็ด อาการ
คือ อวิชชา, สังขาร, วิญญาณ, นามรูป, อายตนะ, ผัสสะ, เวทนา, อุปาทาน, ภพ, ชาติ
ซึ่งถ้าหากจะให้อธิบาย ณ ที่นี้ คงจะยาวจนอ่านกันไม่หวาดไม่ไหว
และอีกอย่างคือ เราไม่สามารถอธิบายในสิ่งที่เราก็ไม่เข้าใจได้
ถ้าเช่นนั้น จะยกตัวอย่างให้เข้าใจภาพรวมให้ง่ายที่สุดแทน
คือ เมื่อประสามสัมผัส(ผัสสะ) ได้รับรู้สิ่งใด ก็จะส่งผลให้เราตีความหมาย สร้างความคิด
สร้างอุปาทานไปว่า นั่นคือ ตัวกู ของกู แล้วเราก็เข้าไปยึดมั่นกับสิ่งนั้นด้วยจิต
เกิดพันธะผูกพันในจิต ก็จะทำให้เกิดความสุข ความทุกข์
แต่หลักปฏิจจสมุปบาท ก็คือ การที่เรารับรู้ถึงกระแสการเกิด รู้ถึงปัจจัยการทำงานของจิต
เมื่อเราได้รับรู้สิ่งใด ก่อนที่มันจะเกิดผลลัพธ์สุดท้ายเป็นความทุกข์
เราก็จะจัดการตัดต้นตอของสิ่งนั้นออกเสีย โดยไม่สร้างอุปาทาน ยึดมั่นในตัวกู ของกู
เมื่อไม่มีปัจจัย สุข-ทุกข์ไม่เกิด ก็จะกลายเป็นความว่าง ไม่ยึดมั่นถือมั่น
เป็นหนทางไปสู่พระนิพพาน
ซึ่งเครื่องมือที่ทำให้เรารู้เท่าทัน การทำงานของจิต ก็คือ
สติ สมาธิ นั่นเอง ที่ทำให้เราหยั่งรู้ถึงปัจจัยเหล่านี้
โดยมีฝึกสติด้วยหลัก อานาปานสติ
ทั้งหมดที่พยายามสรุปมา
อาจจะเข้าใจได้ยาก เพราะเป็นโลกแห่งธรรม
แต่ในทางโลกนั้น
อย่างน้อยหากเราเข้าใจ มองถึงความเป็นไป ปัจจัยของชีวิต และปัญหาที่เกิดในชีวิต
เราก็สามารถมองเห็นภาพรวม เหตุ-ผล ที่ทำให้เกิดปัญหานั้น
ก็จะสามารถหาทางแก้ไขได้ง่ายขึ้น
รวมทั้งถ้าเราเห็นปัญหานั้น และเราเข้าใจปัจจัยว่าสิ่งที่ทำให้เกิดปัญหานั้น
อาจเกิดขึ้นภายในจิตใจ หรืออารมณ์ของเราเอง
เราก็สามารถที่จะฝึกจิต และอารมณ์ให้ตัดปัญหานั้นทิ้งได้ง่าย
เพราะมันอาจไม่ได้เกิดปัญหาก็ได้
เพียงแต่ใจของเราเอง ที่มองเห็นว่า สิ่งนั้น เป็นปัญหา
ทั้งๆที่ มันไม่ได้เกิดปัญหา
หรือพูดในอีกแง่ก็คือ ความทุกข์ นั่นเอง
ขออุทิศส่วนกุศลครั้งนี้ ให้แก่ คุณย่า ประไพ ปัญญาเลิศลักขณา
บรรณานุกรม
พระธรรมเทศนา โดย พระธรรมโกศาจารย์
ปลาที่ว่ายนอกสนามฟุตบอล – วินทร์ เลียววาริณ