วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เหตุเพราะมีสิ่งนี้ จึงมีผลเป็นสิ่งนี้

เหตุเพราะมีสิ่งนี้ จึงมีผลเป็นสิ่งนี้

พระพุทธองค์ ตรัสรู้ สิ่งใด?

ชาวพุทธมากกว่า เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ จะตอบว่า

อริยสัจ 4”

ซึ่งประกอบด้วย ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค รวม 4 ประการ
เนื้อความโดยย่อ คือ การเข้าใจทุกข์ ต้นเหตุ และหนทางดับทุกข์

และที่ทุกคนเข้าใจตรงกันแบบนี้
แน่นอนว่า เพราะ สิ่งนี้สอนในโรงเรียน

แต่แท้จริงแล้ว ถ้าจะพูดให้ลงลึกถึงรายละเอียด
พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้

อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปปาโท

หลายคนคงไม่เคยได้ยินมาก่อน
ทั้งๆที่สิ่งนี้เป็นแก่นที่สุดของธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสรู้
เหตุผลไม่ใช่อะไร
มันเป็นเพราะ
มันยากมาก เกินกว่าที่เด็กจะเข้าใจได้!
แม้แต่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี!


ดังนั้นใน blog นี้
เราจึงพยายามที่จะสรุปภาพรวมของหลัก อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปปาโท
เพื่อให้มองเห็นภาพ และเพื่อให้คนที่สนใจ ได้มุ่งหน้าไปค้นหา ศึกษาต่อไป
โดยที่ตัวเราเองก็ไม่เข้าใจถ่องแท้ แต่จะพยายามอย่างที่สุด
หากผิดพลาดประการใด ก็ท้วงติง และช่วยแก้ไขให้ด้วย


หากจะพูดถึงธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสรู้
อริยสัจ 4 ก็เปรียบได้กับเนื้อเรื่องย่อของหนังสือ ที่เป็นความจริง แต่ถูกย่นยอลงมาอย่างที่สุด
ในขณะที่ อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปปาโท เป็นเนื้อใน ที่ถูกขยายความให้เห็นถึงรายละเอียด

ใจความของ อริยสัจ 4
สามารถกล่าวสรุปได้ว่า
เมื่อเกิดทุกข์ เราก็จะค้นหาเหตุแห่งทุกข์ ซึ่งคือตัณหา และกำจัดตัณหานั้นทิ้งเสีย
โดยที่ คำว่า ตัณหา เป็นการย่นย่อของทุกอย่างลงในคำหนึ่งคำ
เหมือนจับเอาจักรวาล มาบีบรัดให้ลงเหลือขนาดเท่าเม็ดถั่ว

ส่วนใจความสำคัญของ อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปปาโท
คือ การเข้าใจหลักของ เหตุ-ผล
ซึ่งเหตุ-ผล ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึง เหตุผล แต่หมายถึง ต้นเหตุ-ผลลัพธ์

เมื่อมีสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิด และเมื่อสิ่งนี้เกิด ก็จะมีอีกสิ่งหนึ่งเกิดต่อเนื่องกัน

พูดให้เข้าใจง่ายที่สุดคือ
เพราะมีหนึ่ง ถึงเกิดสอง เพราะมีสอง ถึงเกิดสาม เป็นลูกโซ่ต่อเนื่องกัน
ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเอง โดยไม่มีปัจจัยก่อให้เกิด

และนี่คือสิ่งที่พระพุทธองค์ ตรัสรู้



ในส่วนของ อิทัปปจยตา
จะอธิบายถึง หลัก เหตุ-ผล ในภาพกว้าง ที่เป็นสรรพสิ่งทั้งหมด และมุ่งขจัดความยึดมั่นในทวิลักษณ์
สามารถหมายถึง ธรรมชาติที่เราพบเห็นโดยทั่วไป และหมายถึงธรรมชาติที่เราไม่อาจสัมผัสได้
ยกตัวอย่าง ตั้งแต่เรื่องง่าย ไปถึงเรื่องยาก
เช่น
อาจหมายถึงปัจจัยการเกิดของสิ่งที่มีชีวิต และไม่มีชีวิต เหตุใดจึงมีหิน เหตุใดจึงมีสิ่งมีชีวิต
เพราะมีปัจจัยก่อให้เกิด
อาจหมายถึงปัจจัยของการที่ใครคนหนึ่งทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เนื่องจากมีเหตุปัจจัยก่อให้เกิด
อาจหมายถึงปัจจัยของกรรม เช่น กฎแห่งกรรม หรือแม้แต่การบังคับใช้กฎหมาย
เพราะคนทำสิ่งหนึ่ง จึงได้รับผลแบบหนึ่ง
อาจหมายถึงปัจจัยของการเกิดธรรมชาติ การเกิดจักรวาล เนื่องจากมีปัจจัยก่อให้เกิด
และในที่สุด ก็หมายถึง การปรุงแต่งของจิต ว่าเหตุใดจึงรู้สึก มีอารมณ์ มีความสุข ทุกข์

และโดยใจความสำคัญ ถ้าหากเราเข้าใจ ถึงเหตุ-ผล
เราก็จะเข้าใจว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง มันไม่ได้เกิดมาโดยไม่มีเหตุผล และเมื่อเราเข้าใจ
เราก็จะไม่ยึดมั่นในสิ่งที่เราพบเห็น หรือประสบ เพราะมันเป็นเช่นนั้น เป็นกระแสที่ไหลเวียนต่อเนื่อง
เราก็จะไม่เข้าไปยึดมั่นอยู่กับ ความดี-ความชั่ว บุญ-บาป ได้-เสีย สุข-ทุกข์
เพราะมันเป็นเพียงสิ่งที่จิตของเราปรุงแต่งขึ้น และเข้าไปยึดติดกับสิ่งนั้น

ในขณะที่อิทัปปจยตา เป็นการอธิบายหลัก เหตุ-ผล ในภาพรวม
หลักปฏิจจสมุปบาท คือ การอธิบายหลัก เหตุ-ผล ที่เกิดภายในจิต
หรือ สรุปคร่าวๆคือ การทำงานของจิต ที่ทำให้เกิดสุข ทุกข์ และการสร้างอุปาทาน
ซึ่งในหลักปฏิจจสมุปบาท จะอธิบายการปรุงแต่งของจิต ที่เกิดเป็นขั้นเป็นตอน
และสุดท้ายจะได้ส่วนที่เป็นผลลัพธ์ คือ ความทุกข์
ปัจจัยการเกิดทุกข์นี้ แบ่งได้ สิบเอ็ด อาการ
คือ อวิชชา, สังขาร, วิญญาณ, นามรูป, อายตนะ, ผัสสะ, เวทนา, อุปาทาน, ภพ, ชาติ

ซึ่งถ้าหากจะให้อธิบาย ณ ที่นี้ คงจะยาวจนอ่านกันไม่หวาดไม่ไหว
และอีกอย่างคือ เราไม่สามารถอธิบายในสิ่งที่เราก็ไม่เข้าใจได้

ถ้าเช่นนั้น จะยกตัวอย่างให้เข้าใจภาพรวมให้ง่ายที่สุดแทน

คือ เมื่อประสามสัมผัส(ผัสสะ) ได้รับรู้สิ่งใด ก็จะส่งผลให้เราตีความหมาย สร้างความคิด
สร้างอุปาทานไปว่า นั่นคือ ตัวกู ของกู แล้วเราก็เข้าไปยึดมั่นกับสิ่งนั้นด้วยจิต
เกิดพันธะผูกพันในจิต ก็จะทำให้เกิดความสุข ความทุกข์

แต่หลักปฏิจจสมุปบาท ก็คือ การที่เรารับรู้ถึงกระแสการเกิด รู้ถึงปัจจัยการทำงานของจิต
เมื่อเราได้รับรู้สิ่งใด ก่อนที่มันจะเกิดผลลัพธ์สุดท้ายเป็นความทุกข์
เราก็จะจัดการตัดต้นตอของสิ่งนั้นออกเสีย โดยไม่สร้างอุปาทาน ยึดมั่นในตัวกู ของกู
เมื่อไม่มีปัจจัย สุข-ทุกข์ไม่เกิด ก็จะกลายเป็นความว่าง ไม่ยึดมั่นถือมั่น
เป็นหนทางไปสู่พระนิพพาน

ซึ่งเครื่องมือที่ทำให้เรารู้เท่าทัน การทำงานของจิต ก็คือ
สติ สมาธิ นั่นเอง ที่ทำให้เราหยั่งรู้ถึงปัจจัยเหล่านี้
โดยมีฝึกสติด้วยหลัก อานาปานสติ

ทั้งหมดที่พยายามสรุปมา
อาจจะเข้าใจได้ยาก เพราะเป็นโลกแห่งธรรม



แต่ในทางโลกนั้น
อย่างน้อยหากเราเข้าใจ มองถึงความเป็นไป ปัจจัยของชีวิต และปัญหาที่เกิดในชีวิต
เราก็สามารถมองเห็นภาพรวม เหตุ-ผล ที่ทำให้เกิดปัญหานั้น
ก็จะสามารถหาทางแก้ไขได้ง่ายขึ้น
รวมทั้งถ้าเราเห็นปัญหานั้น และเราเข้าใจปัจจัยว่าสิ่งที่ทำให้เกิดปัญหานั้น
อาจเกิดขึ้นภายในจิตใจ หรืออารมณ์ของเราเอง
เราก็สามารถที่จะฝึกจิต และอารมณ์ให้ตัดปัญหานั้นทิ้งได้ง่าย
เพราะมันอาจไม่ได้เกิดปัญหาก็ได้
เพียงแต่ใจของเราเอง ที่มองเห็นว่า สิ่งนั้น เป็นปัญหา
ทั้งๆที่ มันไม่ได้เกิดปัญหา

หรือพูดในอีกแง่ก็คือ ความทุกข์ นั่นเอง




ขออุทิศส่วนกุศลครั้งนี้ ให้แก่ คุณย่า ประไพ ปัญญาเลิศลักขณา


บรรณานุกรม

พระธรรมเทศนา โดย พระธรรมโกศาจารย์
ปลาที่ว่ายนอกสนามฟุตบอล วินทร์ เลียววาริณ

วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

มองโลกในแง่ดีสัด

มองโลกในแง่ดีสัด

ถ้าใครที่ติดตามอ่าน blog ของเรามาตั้งแต่ปีที่แล้ว
ก็คงจะพอมองตัวตนของเราออกบ้าง ว่าจริงๆแล้ว

เราก็เป็นพวกสุขนิยม อยู่ไม่น้อย

ซึ่งถ้าจะพูดถึงเรื่อง สุขนิยม คงจะหนีไม่พ้น
พี่เอ๋ นิ้วกลม

ขอสารภาพว่า
เราเคยอ่านงานของพี่เอ๋ นิ้วกลมเฉพาะในช่วงแรกๆ
คือ โตเกียวไม่มีขา และ อิฐ
หลังจากนั้นเราก็แทบไม่ได้อ่านงานพี่นิ้วกลมอีกเลย

แต่เราก็ได้ติดตามเพจพี่นิ้วกลมอยู่ห่างๆทาง facebook
เราก็เห็นด้วยกับหลายๆข้อความ และไม่เห็นด้วยกับหลายๆข้อความ

แต่เมื่อลองมาดูตัวเองแล้ว
ก็พบว่า เราก็คิดอะไรคล้ายๆกับพี่นิ้วกลมเหมือนกัน

ที่พูดเนี่ย ไม่ได้จะมาบอกว่า แหม่ กูคิดเหมือนนักเขียนชื่อดัง หรืออะไร
แต่อยากจะสื่อว่า
หากแนวความคิดของพี่นิ้วกลม เข้าข่าย สุขนิยม
แนวคิดของเราก็คงไม่ห่างกันสักเท่าไหร่


เราเชื่ออยู่เสมอว่า
คนเราทุกคน มีสิทธ์ที่จะมีความสุข
และเชื่อว่า ความสุขเกิดขึ้นได้ หากมองโลกในแง่บวก

ถามว่า ทำไมอยู่ๆถึงพูดเรื่องอะไรแบบนี้

มันเป็นเพราะว่า มันเกิดคู่แข่งพี่นิ้วกลม
คุณนิ้วกลาง ขึ้นมา


เพจคุณนิ้วกลาง ทำให้เราตีความการกระทำนี้ออกมาได้ สอง ลักษณะ



หนึ่ง คือ ความถ่อยได้ถูกระเบิดออกมาแล้ว
มีตัวอย่างออกมามากมาย ว่า คนเราเก็บกด เรื่องความถ่อย และเรื่องทางเพศอยู่ภายใน
ไม่กล้าเผยออกมาในชีวิตประจำวัน แต่กล้าที่จะถ่อยในโลกเสมือนจริง
และยิ่ง social network ที่ปกปิดตัวตนไว้ให้ ก็ยิ่งทะลักออกมาได้ง่ายขึ้น

ตัวอย่างที่เห็นได้จนเกร่อ คือ
เพจที่ทำขึ้นมาล้อเลียนคนมีชื่อเสียงบ้าง ไม่มีชื่อเสียงบ้าง
แล้วแสดงความคิดที่บางทีก็ขับเน้นแนวความคิดของคนนั้นให้ดูแรงเกินจริง
หรือ แสดงความคิดที่ล้อเลียน ขัดแย้ง ไปในอีกทางหนึ่ง
ซึ่งส่วนใหญ่ ก็หนีไม่พ้น เรื่องเพศ และความถ่อย

และก็มีคนจำนวนมาก ที่ชอบ และเห็นด้วยไปด้วยกัน
ยิ่งถ่อย ยิ่งตรง ยิ่งแรง ก็ยิ่งมีคนชอบ และในทางตรงกันข้าม ก็มีคนต่อต้านเท่าๆกัน
แสดงให้เห็นว่า กฎระเบียบ มารยาทในสังคม มันช่างบีบรัดเสียเหลือเกิน
ทำให้คนเราต้องหาทางระบายออก และถ่อยใส่กันในที่ๆปกปิดตัวจริงของเราไว้


สอง คือ แนวความคิดของพี่นิ้วกลม ถูกต่อต้าน
แนวความคิดนี้ ขอแทนด้วยคำเรียกว่า แนวสุขนิยม ที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนบัญญัติให้
ซึ่งมีนัยยะ ของความประชดประชันอยู่เล็กๆ หรืออาจจะไม่เล็ก ตามบริบทการใช้

มันหมายความว่า มีคนจำนวนหนึ่ง เริ่มเอียนกับการชักจูงให้มองโลกในแง่ดีของพี่นิ้วกลม
จนอยากจะตะโกนว่า

สิ่งที่คุณพยายามยัดเยียดให้กู มันโคตรจะอุดมคติโว้ย

ก็เลยตั้งเพจนิ้วกลาง ขึ้นมา เพื่อตอกย้ำความคิดทางลบให้มันเด่นชัดขึ้นว่า
มันไม่ได้หายไปไหนนะ มันยังอยู่ คุณอย่ามาทำเป็นมองไม่เห็น
โดยใช้ข้ออ้างว่า มองโลกในแง่ดี

หรือ สาม คือ ตั้งเอามันไปงั้นแหละ

เราไม่รู้ว่า มันเป็นเหตุผลข้อไหน หรือถ้ามีเหตุผลอื่น ก็ช่วยกันคิดทีแล้วกัน


แต่!!
เข้าเรื่องเสียที

ถ้ามันเป็นเพราะเหตุผลที่สอง คือ การรู้สึกหมั่นไส้สุขนิยมแล้วละก็
แม้ว่า เราจะไม่ได้เห็นด้วยกับพี่นิ้วกลมสุดลิ่มทิ่มประตู
แต่ด้วยความเห็นของตัวเราเอง มองว่า

การใช้ชีวิตด้วยการมองโลกในแง่ดี มันไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน
หรือการใช้ชีวิตให้มีความสุข มันเป็นอุดมคติ หรือ ไร้สาระ ยังไง?

อย่างที่บอกไปตอนต้นว่า เราเชื่อว่า คนเราทุกคนมีสิทธ์ที่จะมีความสุข
ดังนั้นการที่มีคนบอกว่า การมองแต่ด้านดี มันเป็นอุดมคติ ไม่มองปัญหาจริง ไม่เข้าใจชีวิต
เรากลับคิดว่า หรือว่า เขาใช้ชีวิตไม่เป็นกันแน่นะ?

หรือจะบอกว่า เราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม จึงต้องอยู่กับความทุกข์
และการใช้ชีวิตให้มองโลกให้สวยงาม ทำตัวให้หลั่นล้าเป็นความปัญญาอ่อน


เมื่อวานตอนจบ ดอกทองสีส้ม มีคำพูดหนึ่งของคุณดี๋ พูดถูกใจจริงๆ
คำพูดประมาณว่า
แม้ว่าความสุขจะอยู่กับเราไม่นาน แต่ถ้าเราประสบพบเจอความทุกข์
เราก็ไม่ต้องเครียดให้มากหรอก เพราะมันอยู่กับเราไม่นานเหมือนกัน

แล้วเราจะใช้ชีวิตให้มันเครียดทำป๊ะอะไรวะ
คือ เข้าใจว่า ชีวิตแมร่งก็มีปัญหาต่างๆกันไป แต่เราเคยพูดครั้งนึงว่า

ปัญหาใหญ่ มองให้เล็กมันก็เล็ก
ปัญหาเล็ก มองให้ใหญ่มันก็ใหญ่
บางครั้งถ้ามองให้มันไม่มี มันก็ไม่มี

เพราะปัญหามันอยู่ที่มุมมองของเราต่างหาก
การนั่งเครียด กลัดกลุ้ม เซ็ง ไม่เคยช่วยแก้ปัญหา พาลจะทำให้อะไรๆมันแย่ลงไปอีก
คือถ้ามีปัญหา ก็หาทางแก้กันไปสิ
แต่ทำไมเราจะแก้แบบมีความสุขไม่ได้เหรอ

คือไม่ได้บอกว่า ต่อไปนี้ทุกคนจงทำหน้าหลั่นล้าปัญญาอ่อนแก้ปัญหา
แต่เราเชื่อว่า ถ้าเรามองโลกในแง่ดี ทางแก้ปัญหา มันจะง่าย และให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
เพราะเราคิด เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่มีความสุข

ไอ้ที่พูดเนี่ย ไม่ได้พูดเลื่อนลอย ฟังดูอุดมคติ
แต่เพราะเราใช้ชีวิตอย่างที่เราเชื่อ เราก็ทำ อย่างที่เราเชื่อ

คือ เราไม่ได้ยิ้มรับปัญหาหรอกนะ คือ มันก็เครียดบ้าง
แต่เราพิสูจน์มาแล้วว่า หากเรามีกำลังใจที่ดี มองโลกในแง่ดี
ทางแก้มันจะเป็นอะไรที่ง่ายมากๆ และเราก็พอใจ
แต่ถ้าหากเรามองโลกในแง่ร้าย หรือ มองกลางๆ
เราจะยอมรับทางแก้ปัญหาต่างๆได้ยากกว่า
และหลายครั้งก็จะรู้สึกมืดแปดด้าน ทางนู้นก็ไม่ดี อย่างนี้ก็ไม่ได้


ถ้าเราได้เงินเดือนหนึ่งหมื่นบาท
คนหนึ่งอาจมองว่า น้อยชิบหาย
คนหนึ่งอาจมองว่า โห เยอะสัดๆ

มันขึ้นอยู่ที่ว่า เราตีค่าการใช้ชีวิตของเราไว้ระดับไหน
และเราเลือกจะมองอย่างไรมากกว่า


ถ้าจะให้ยกประสบการณ์ส่วนตัวมาสนับสนุน ก็นึกออกเรื่องหนึ่งคือ
เมื่อต้นปีตอนที่เรารู้ว่ากูได้เงินเดือนห้าพัน
ตอนนั้นกูก็เครียดสัดไปสองวัน และคิดว่า เหี้ย!! แล้วกูจะเอาไรแดกวะเนี่ย
เงินห้าพัน แล้วกูจะอยู่รอดได้ยังไง
ตอนนั้นก็เครียด และรู้สึกสับสนวุ่นวายจิตใจมากๆ

แต่หลังจากที่สงบสติอารมณ์ลงได้แล้ว เราเลือกที่จะมองว่า
ตอนเรียนได้เดือนละสี่พันเอง แดกข้าวป้า กลับบ้าน ไปเที่ยว มันก็ยังเหลือนี่หว่า
นี่เพิ่มมาอีกตั้งพันนึง ใช้ดีๆ ยังไงมันก็พอ และยิ่งไปกว่านั้น
ประสบการณ์จากงานนี้
มันมีค่าในแบบที่งานเงินเดือนสองหมื่น ไม่สามารถให้ได้หรอกนะ
เพราะมันสร้างความสัมพันธ์ที่มันประเมินค่ามิได้
มันทำให้เราได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างในชีวิตขึ้นไปอีก
และที่สำคัญที่สุดคือ เราไม่เคยเสียใจเลย ที่ได้เรียนกับคนๆหนึ่งซึ่งเป็นไอดอลของเรา

แล้วจากนั้น
กูก็ ฟิน